เป็นแลนด์มาร์กที่อยู่คู่เมืองไทยมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ และเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญๆของประเทศ สำหรับ “ดุสิตธานี กรุงเทพ” โรงแรมสัญชาติไทยระดับลักชัวรีแบรนด์แรกของเมืองไทย ที่สร้างตำนานไว้ในความทรงจำมากมาย ถึงเวลาแล้วที่จะกลับมาเปิดตำนานบทใหม่อีกครั้ง ภายใต้ภาพลักษณ์ทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ความงามสง่าในแบบฉบับของดุสิตธานี เพื่อมอบประสบการณ์พักผ่อนเหนือระดับให้กับนักเดินทางยุคใหม่ ในฐานะหมุดหมายกรุงเทพฯอย่างแท้จริง
เป็นความตั้งใจของ “อองเดร ฟู” มัณฑนากรและสถาปนิกมือรางวัลโลก ที่นำอัตลักษณ์ดั้งเดิมของดุสิตธานี มาผสมผสานกับความหรูหราทันสมัยได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ใหม่ให้ว้าวที่สุด โดยโจทย์ใหญ่อยู่ที่การรักษาจิตวิญญาณเดิมของ “ดุสิตธานี กรุงเทพ” ถ่าย ทอดคุณค่าและความสง่างามที่ผ่านกาลเวลาตลอด 50 ปี พร้อมนำเสนอความสดใหม่และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อันชาญฉลาด
กว่าจะคลอดเป็น “ดุสิตธานี กรุงเทพ” โฉมใหม่ ต้องค้นคว้าหาข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ในเชิงลึก เพื่อให้เข้าใจแก่นแท้จิตวิญญาณดั้งเดิม “อองเดร ฟู” เริ่มออกสตาร์ตด้วยคำว่าความหรูหราอย่างผ่อนคลาย เขาตระหนักดีว่า “ดุสิตธานี กรุงเทพ” โฉมใหม่ จะเป็นจุดเปลี่ยนของวงการโรงแรมในเมืองไทย โดยเป็นส่วนผสมของการเชิดชูตัวตนที่ชัดเจนและความอบอุ่นของความเป็น “ดุสิตธานี กรุงเทพ” ขณะเดียวกันก็ต้องนำเสนอความสดใหม่และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อถ่ายทอดบรรยากาศความหรูหราทันสมัย ถือเป็นการเชิดชูทั้งวัฒนธรรมความเป็นไทย, การออกแบบอย่างชาญฉลาด และคุณค่าแห่งงานศิลป์ ซึ่งสัมผัสได้ในทุกมิติ
...
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่โรงแรม “ดุสิตธานี กรุงเทพ” จะได้สัมผัสกับความทรงจำมากมายที่เคยสร้างตำนานเหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็น “ยอดเสาปลายแหลมสีทองบนยอดตึก” สัญลักษณ์แห่งความทรงจำ ออกแบบโดยสถาปนิกญี่ปุ่น “มร.โยโซ ชิบาตะ” ได้แรงบันดาลใจจากยอดของพระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม, “กรอบอาคารมงคลสีทอง” วางสมมาตรตามศาสตร์ฮวงจุ้ยเพื่อเสริมมงคล จากกรอบอาคารสีทองดั้งเดิมถูกนำมาปรับรูปแบบใหม่เป็นกรอบหน้าต่างพาโนรามาสีทองขนาดใหญ่สูงจากพื้นจดเพดาน เปิดให้เห็นทิวทัศน์ของสวนลุมพินีได้อย่างเต็มตาในทุกห้องพัก, “ต้นไม้แห่งความทรงจำ” ต้นลีลาวดีต้นแรกที่ “ท่านผู้หญิง ชนัตถ์ ปิยะอุย” ปลูกไว้บริเวณน้ำตกเดิม ได้ย้ายไปอนุบาลไว้ระหว่างก่อสร้าง และเมื่ออาคารของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง “คุณชนินทธ์ โทณวณิก” จึงนำกลับมาหยั่งรากลงผืนดินเดิมอีกครั้ง, “น้ำตกสวรรค์ชั้นดุสิต” นํ้าตก 9 ชั้น ซิกเนเจอร์ในอดีต (3 ชั้นบนหมายถึงไตรภูมิทั้งสามโลก และ 6 ชั้นล่างหมายถึงสวรรค์ 6 ชั้น) ได้กลับมาสร้างความร่มรื่นในรูปแบบสวนน้ำตก 9 ชั้น ที่สามารถมองเห็นได้ทั่วบริเวณตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้น 3 ของโรงแรม เหมาะกับการนั่งจิบน้ำชายามบ่ายรำลึกความหลัง พร้อมรื่นรมย์ธรรมชาติ, “เพดานล็อบบี้สีทองอร่าม” ดีไซน์ฝ้าเพดานหลุมบริเวณล็อบบี้ชั้นล่าง ผสานความทันสมัยเข้ากับอัตลักษณ์รูปทรงฝ้าดั้งเดิม โดยออกแบบเป็นฝ้าขั้นบันไดทรงสี่เหลี่ยมสีทอง, “อัตลักษณ์ไทยแท้” เส้นโค้งที่ได้แรงบันดาลใจจาก “สินเทา” งานจิตรกรรมฝาผนังไทย ถูกปรับเปลี่ยนเป็นรูปทรงคล้ายก้อนเมฆ สื่อถึงสรวงสวรรค์ชั้นดุสิต, “เสาเบญจรงค์” ผลงานชิ้นเอกของ “ท่านกูฏ” (อ.ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ) ศิษย์รุ่นแรกของ “อ.ศิลป์ พีระศรี” เป็นเสาเอกขนาดใหญ่ 2 ต้น นํ้าหนักรวมกว่า 10 ตัน อยู่คู่ “ดุสิตธานี กรุงเทพ” ตั้งแต่เริ่มต้น และถูกนำกลับมาเป็นอัตลักษณ์เชื่อมรอยต่อประวัติศาสตร์หน้าใหม่อีกครั้ง
...
ในส่วนของห้องพักทั้ง 257 ห้อง ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ผู้เข้าพักสามารถชมวิวสวนลุมพินีได้ทุกห้อง ผ่านกรอบหน้าต่างพาโนรามาสีทองขนาดใหญ่สูงจากพื้นจดเพดาน โดยทุกห้องนำเสนอความเป็นไทยผ่านมุมมองคนต่างชาติในโทนสีเขียวอ่อนแบบถ้วยชามศิลาดล นอกจากนี้ ยังสอดแทรกวัฒนธรรมและความเป็นอยู่อย่างไทยไว้ทุกมุม เช่น นำลายลูกฟักและผนังไม้ฝาปะกนบ้านไทยตกแต่งภายในห้อง ส่วนบริเวณหัวเตียงเพิ่มลวดลายที่ปักด้วยมือทุกชิ้นสื่อความหมายถึงสรวงสวรรค์ชั้นดุสิต
ถือเป็นการถอดรหัสอัตลักษณ์ของ “ดุสิตธานี กรุงเทพ” สู่ความงามสง่าร่วมสมัยได้อย่างชาญฉลาดจริงๆ.
...
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่