เซอร์ไพรส์ไม่หยุดจริงๆ!! เพื่อคว้าใจท็อปสเปนเดอร์ให้อยู่หมัด “เอ็ม ดิสทริค” โดยศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ ลงทุนปิดเกาะจัดทริปหรูสุดเอกซ์คลูซีฟ “EM DISTRICT PRIVATE ISLAND TOP SPENDER EXCLUSIVE TRIP” เชิญ 20 ลูกค้าวีไอพีระดับท็อปสเปนเดอร์ นำโดย จรรยา สว่างจิตร และ ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ, อรรณพ-อรพินธุ์ พรประภา, ดาว เสถียรถิระกุล, ขนิษฐา-สุชัย จิตต์กุศล, สหพัฒน์ พรประภา และณัฐริกา ภูมีสี สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ ปิดเกาะส่วนตัว “Cape Fahn Private Islands”นอกชายฝั่งตะวันออกเกาะสมุย เนรมิตเป็นอาณาจักรซุปเปอร์ลักชัวรี “EM ISLAND”
นอกจากจะเนรมิตเกาะสวรรค์ให้คึกคักด้วยกิจกรรมสุดเอกซ์คลูซีฟ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่มินิคอนเสิร์ตริมหาดของนักร้องสาวอารมณ์ดี “แคทรียา อิงลิช” ผู้บริหารพลังเยอะแห่งเดอะมอลล์ กรุ๊ป “เดอะแอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช” ยังบินมาเซอร์ไพรส์ พร้อมเชื้อเชิญลูกค้าท็อปสเปนเดอร์ขึ้นเรือยอชต์ไปทานข้าวเที่ยงที่วิลล่าส่วนตัวบนเกาะพะงัน งานนี้ “เดอะแอ๊ว” ลงทุนเสิร์ฟอาหาร, แกะกุ้งหอยปูปลา และเติมเครื่องดื่มให้ทุกคนด้วยตัวเอง เพื่อให้สมกับเป็นมื้อแสนพิเศษที่เงินซื้อไม่ได้จริงๆ
...
กว่าจะจับจุดได้พลิกกลยุทธ์จนขึ้นแท่นเป็นศูนย์การค้าอันดับหนึ่งที่ครองใจท็อปสเปนเดอร์ “อรธิรา ภาคสุวรรณ์” กรรมการผู้จัดการอาวุโส “เอ็ม ดิสทริค” บอกเล่าถึงเส้นทางวิ่งสู้ฟัดไม่หยุดว่า
“สมัยก่อนมีโปรโมชันศูนย์การค้าปกติ ประมาณลดแลกแจกแถม จับสลากจับรางวัลชิงโชคได้บัตรกำนัลได้กิฟต์เวาเชอร์ได้รถยนต์ได้คอนโดฯ หรือไม่ก็ท็อปสุดของผู้ใช้จ่ายบัตรเครดิตต่างๆก็ได้ของรางวัลไปเลย กระทั่งก่อนเกิดโควิดไม่กี่ปี ตลาดลักชัวรีในเมืองไทยเริ่มบูม คนไทยใช้จ่ายสูงขึ้น เพราะลูกค้าฉลาดช็อปมากขึ้น หันมาเล่นจิวเวลรีแบรนด์เนมมากขึ้น มองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยลูกค้ารุ่นใหญ่จะเลือกเฉพาะแรร์ไอเท็มที่มีชิ้นเดียวในโลก ซื้อปุ๊บถ้านำเข้าประมูลราคาขึ้นหลายเท่าตัว ส่วนลูกค้ารุ่นใหม่ทุ่มให้เครื่องประดับและนาฬิกาแบรนด์เนม โดยมิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าสตรีทแวร์ เรียกว่าลูกค้าทุกรุ่นเป็นสมาร์ตช็อปเปอร์มากขึ้น ยิ่งมาเจอโควิดต้องปิดเมืองล็อกดาวน์ กลายเป็นว่าการเจริญเติบโตของตลาดเมืองไทยมีอัตราสูงที่สุดในเอเชีย ยอดขายสินค้าแบรนด์เนมโตเป็น 100% จนเจ้าของแบรนด์เนมใหญ่ๆต้องบินมาดูตลาดเมืองไทยว่าทำได้ยังไง หลังโควิดเปิดประเทศได้เต็มที่เมื่อต้นปี 2565 ทุกแบรนด์ขอขยายร้านและขยายไลน์สินค้ากันหมด”
...
เมื่อถามถึงจุดเปลี่ยนของการตลาดแบบยิ่งช็อปเยอะยิ่งได้สิทธิพิเศษ และการเป็นลีดเดอร์ใช้กลยุทธ์ท็อปสเปนเดอร์นำการตลาด เอ็มดีคนเก่งวิเคราะห์ให้ฟังว่า
“เมื่อ 15 ปีก่อน “คุณกบ-เกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ” ริเริ่มทำบัตร Platinum M Card เจ้าแรกในเมืองไทย ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 2 หมื่นกว่าคน และต่อยอดขึ้นไปถึงบัตร Scarlet M Card ที่มีเฉพาะผู้ได้รับเชิญ 600 คน เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษในการช็อปปิ้งพร้อมไลฟ์สไตล์เหนือระดับให้ลูกค้าวีไอพี ไล่ตั้งแต่บริการที่จอดรถพิเศษ, บริการห้องรับรองพิเศษ จนถึงบริการผู้ดูแลระหว่างช็อปปิ้งภายในศูนย์การค้า และบริการจัดส่งสินค้า แต่กลยุทธ์เปลี่ยนตอนตลาดลักชัวรีในไทยเริ่มบูม ทำให้เราเห็นตัวตนของลูกค้า และความต้องการเฉพาะบุคคล ทั้งนี้เพื่อให้เราทำความรู้จักกับกลุ่มท็อปสเปนเดอร์มากขึ้น จึงเริ่มจัดของขวัญพิเศษให้ลูกค้าระดับท็อป อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การตลาดมาพลิกจริงๆตอนที่เจอโควิด 3 ปีเต็ม ต้องระดมสมองว่าจะทำยังไงถึงสามารถดึงลูกค้าให้มาช็อปปิ้งที่ศูนย์การค้าเรา ถึงจะเปิดเมืองได้แต่ลูกค้ายังเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ หน้าที่ของเราคือทำยังไงให้ลูกค้าช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมกับศูนย์การค้าเรามากที่สุด เมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายเปิดประเทศ วันที่ 1 พ.ย.2564 หลังโควิดทุเลาลง เราต้องมาคิดต่อว่าทำยังไงให้ลูกค้าเห็นแวลูการช็อปปิ้งแบรนด์เนมในไทย แทนที่จะไปซื้อแบรนด์เนมในต่างประเทศ ซึ่งจะต้องมีรางวัลที่เมืองนอกให้ลูกค้าไม่ได้ ทำยังไงให้ลูกค้าฟีลว่าซื้อแบรนด์เนมในไทยคุ้มค่ากว่าซื้อต่างประเทศ เราพยายามพูดกับลูกค้าทุกคนว่าถ้าซื้อของแบรนด์เนมในไทย แบรนด์จะดูแลคุณอย่างดี วันเกิดและวันสำคัญก็มีของขวัญเซอร์ไพรส์ ด้วยการเซอร์วิสแบบ One on One คุณสามารถเลือกสินค้าคอลเลกชันใหม่ก่อนใคร ได้นั่งฟรอนต์โรว์ดูแฟชั่นโชว์ ได้มีโอกาสเข้าสถานที่ต่างๆที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้า แต่ถ้าไปเที่ยวและช็อปปิ้งแบรนด์เนมในต่างประเทศ เดินออกมาก็ไม่มีใครรู้จักคุณ การที่เราเป็นวีไอพีของร้านต่างๆในไทย เรามีสิทธิ์เลือกสินค้าก่อนคนอื่น ได้ถือก่อนใครๆในโลก ซึ่งตรงนี้เป็นการทำงานร่วมกับแบรนด์เนมต่างๆ”
...
...
อีกหนึ่งกลยุทธ์ทำให้ “เอ็ม ดิสทริค” คว้าใจลูกค้าท็อปสเปนเดอร์อยู่หมัด คือบริการด้วยความจริงใจทุกระดับ และการมอบประสบการณ์ที่เงินซื้อไม่ได้!!
“เราเป็นศูนย์การค้าแรกที่ริเริ่มนำเสื้อผ้าและแอคเซสเซอรีแบรนด์เนม หรือกระทั่งของใช้ต่างๆในบ้านไปให้ลูกค้าเลือกช็อปถึงบ้าน โดยจับมือกับแบรนด์ต่างๆ และคอยดูแลลูกค้าท็อปสเปนเดอร์แบบตัวต่อตัวทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังหากลยุทธ์ใหม่เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษที่เงินซื้อไม่ได้ให้ลูกค้า เราต้องไปหาประสบการณ์ดีๆแปลกใหม่มาให้ลูกค้า เริ่มจากตอนเปิดเมืองใหม่ๆ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยังไม่เปิดตัวทั้งที่พร้อมแล้ว เราไปดีลขอจัดงานวันลอยกระทง โดยเนรมิตให้เป็นอาณาจักรของ “เอ็ม ดิสทริค” เชิญท็อปสเปนเดอร์ไป 50 คู่ ความรู้สึกลูกค้าคือเอกซ์คลูซีฟมาก เพราะฉันเป็นกลุ่มแรกที่ได้เหยียบโรงแรมหรูแห่งใหม่ที่สุดของประเทศ ลูกค้าโพสต์ลงสื่อโซเชียลกันหมด คราวนี้กระหึ่มเลย ถามปากต่อปากว่าทำยังไงถึงได้มางานเอกซ์คลูซีฟแบบนี้ หลังโควิดทุเลาลง เริ่มเปิดเมืองให้เที่ยวในประเทศได้ เราก็เป็นศูนย์การค้าแรกที่จัดทริปหรูระดับซุปเปอร์ลักชัวรีให้ลูกค้าท็อปสเปนเดอร์ โดยเลือกภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทาง แถมมีทริปเที่ยวเหมาลำให้ลูกค้าบินไปกระทบไหล่ดาราและคนดังวงการต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ คราวนี้จุดพลุเลย ถามกันทั้งวงการว่าทำยังไงถึงจะได้ไปงานแบบนี้กับเอ็มโพเรียม
...มันไม่ใช่แค่ได้กินได้เที่ยวได้ประสบการณ์แปลกใหม่ แต่ยังเป็นการสร้างไฮเน็ตเวิร์กให้ลูกค้ากับลูกค้าได้เจอกัน ได้ต่อยอดธุรกิจกันเอง กลายเป็นสังคมเดียวกัน และเป็นเพื่อนกันตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จนถึงรุ่นลูก เวลาจัดทริปอะไรเราไม่เคยใช้บริษัททัวร์ เพราะตั้งเป้าแล้วว่าต้องเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เงินซื้อไม่ได้ อย่างตอนจัดทริปให้ลูกค้าไปเที่ยวญี่ปุ่น เราต้องทำอะไรที่ลูกค้าทำเองไม่ได้ ก็ไปหาจนเจอโรงแรมแห่งหนึ่งของ AMAN ไกลมากๆอยู่ริมเกาะห่างออกไป จากโรงแรมนั่งเรือไปกินซูชิที่เกาะเล็กๆ ซึ่งมีแค่ 12 ที่นั่ง ทุกคนก็ตื่นเต้นไปกับเรา บางทีไม่จำเป็นต้องเป็นของแพง แต่ลูกค้าจะชอบมากถ้าได้อะไรที่จองยากๆ ปีต่อมากี้จัดกิจกรรมชวนท็อปสเปนเดอร์ของแต่ละเดือนไปทานข้าวอร่อยกลิ้งกับวิกกี้ ทำต่อเนื่องมา 2 ปี แต่ตอนนี้ต้องหยุดพักและหาประสบการณ์แบบใหม่ๆให้ลูกค้า โดยปีนี้จะทิ้งทวนด้วยทริปต่างประเทศคืออิตาลีกับฝรั่งเศส ซึ่งพิเศษสุดแน่นอน ส่วนปีหน้าอยากจะเปลี่ยนแนวนิดหนึ่ง กำลังปรับกลยุทธ์ให้เหนือชั้นขึ้นไปอีก เพื่อให้ลูกค้าว้าวกว่าเดิม และอยากขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างไปอีก”...รับรองว่ามีทีเด็ดมาเซอร์ไพรส์ไม่หยุดแน่นอน!!
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่