• คำพูดของเพื่อนที่แทงหัวใจจำได้ไม่เคยลืม เพื่อนบอกให้เลิกร้องเพลงเพราะเสียงไม่ดี ได้แต่บอกตัวเอง "เดี๋ยวมึงเจอกู" 
  • คว้าโอกาสได้เป็นนักร้องสมใจ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง เพราะอีโก้ของตัวเอง
  • ท็อปในรุ่น แม้จะโด่งดังแต่ก็ยังไร้ตัวตน จนวันที่เพลงสาบานได้เลย ดังเป็นพลุแตกแจ้งเกิด ฮันเตอร์ 

ฮันเตอร์ สาบานได้เลย หรือ สถาพร พงษ์บ้านไร่ ศิลปินสายอคูสติกโฟล์ค ที่มีผลงานเพลงเป็นที่รู้จักอย่าง ท็อปในรุ่น, สาบานได้เลย ที่โด่งดังเป็นไวรัลทั่วประเทศ เป็นอีกหนึ่งนักร้องที่กว่าจะประสบความสำเร็จก็ใช้เวลาอยู่นานหลายปีในเส้นทางการเป็นนักดนตรี 

วันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ไปเจอ ฮันเตอร์ เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตของเขาที่กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ วันที่เขาประสบความสำเร็จอีกขั้นในเส้นทางการเป็นนักดนตรี ต้องผ่านสารพัดเรื่องราวมาไม่น้อย ซึ่งฮันเตอร์เปิดใจเล่าให้ฟังว่า 

ความฝันในวัยเด็ก

มันต้องเท้าความตั้งแต่เด็กเลย เด็กมากๆ แน่นอนครับ โตมากับ RS  ชอบแร็พเตอร์ ชอบพี่เต๋า จนโตมาอีกระดับหนึ่ง รู้จักลีโอพุฒครับ และในปกลีโอพุฒ มันเป็นรูปที่เขากระโดดและมีรูปวาดกีตาร์อยู่ เราก็แบบมันคืออะไร เริ่มสนใจกีตาร์แล้ว เราก็เลยเริ่มอยากเล่นมัน ก็เริ่มเล่นกีตาร์ ฝึกมัน ก็มีความฝันตั้งแต่ช่วงนั้นเลย ม.1 ม.2 สักวันอยากมีเพลงของตัวเอง อยากออกอัลบั้ม

...

พอมหาวิทยาลัยเราก็เข้าไปเรียนดนตรี พอเข้าไปเรียนดนตรีเราก็ไปเจอพี่ๆ ETC ยังศึกษากันอยู่ตรงนั้น และก็มีพี่ศิลา วงซีล มีวงอะคาเปล่าเซเว่นอยู่ในนั้น มันก็เป็นมวลของความเป็นศิลปินสูงมาก เราก็ยิ่งอยากเดินต่อไป เพราะมองว่ามันไปได้นะ

ผมโตมาด้วยความเป็นนักกีตาร์เป็นหลัก ตอนอยู่มหาลัยผมก็ทำวง ผมเป็นมือกีตาร์ไม่ใช่นักร้อง แล้ววันหนึ่งเราคิดว่าเราทำได้นะตำแหน่งนี้ เราก็เลยเริ่มมาทำ พอทำเสร็จแล้วเพื่อนคนอื่นที่เขาฟังเสียงแล้วบอกว่า มึงร้องไม่ดี มึงเลิกร้องเถอะ ทำไมไม่แต่งเพลงแล้วให้คนอื่นมาร้องล่ะ เออ!! เดี๋ยวมึงเจอกู 

ได้เป็นนักร้องอย่างที่ฝัน


ช่วงนั้นพี่นอ นรเทพ มาแสง มือเบสวงเครสเชนโด้ เขาไปเป็นอาจารย์ฝึกสอนที่คณะผม จริงๆ ผมเรียนจบแล้วนะ แต่ยังไปป้วนเปี้ยนในมหาวิทยาลัยบ้าง และช่วงนั้นที่โซนี่ แบล็คชีพเขากำลังเฟ้นหานักดนตรีหน้าใหม่ แล้วพี่นอเขาก็ไปถามนักศึกษาใครมีผลงาน มีอะไรไหม แล้วรุ่นน้องนักศึกษาเขาบอก พี่ฮันเตอร์เขามี เขาแต่งเพลงอยู่ เขาพยายามทำเพลงอยู่ พี่นอก็มาคุยกับผมว่า ฮันเตอร์มีเดโม่มั้ย เดี๋ยวผมจะไปส่งให้ที่นี่

วันที่เขาถามเดโม่ผมไม่เสร็จสักเพลงเลย และผมก็นั่งตัดสินใจ สุดท้ายก็เลยรีบกลับบ้านไปทำเดโม่ให้เสร็จภายในคืนนั้น และอีกวันก็เอาไปส่งพี่นอที่สนามบิน และก็ผมไม่รู้ว่าระยะเวลามันนานแค่ไหน ก็มีโทรศัพท์เข้ามา เรียกมาสัมภาษณ์ครับ

ครั้งแรกที่เขาเรียกมา เปิดประตูเข้าไปเขาบอก เขาถามน้ำหนักเท่าไหร่ ตอนนั้นอ้วนมาก ตอนนั้นผมประมาณเกือบ 90 น้ำหนัก 90 ก็นั่งคุยกันไป เขาสนใจเพลงนะ แต่ถ้าคุณลุคนี้คุณไม่น่าจะได้ ยังไงลองแต่งเพลงเพิ่มละกัน ผมก็กลับเชียงใหม่ ผมก็ลดน้ำหนัก แต่เพลงเพิ่มส่งเขาไปมาอยู่หลายเดือน 2-3 เดือน จนกว่าจะลงตัวเซ็นสัญญา  3 เดือนผมลงไป 15 กิโล เหลือ 70 ประมาณนี้ ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นพี่ก้อง สหรัถ (หัวเราะ)

ในนั้นมันเป็นอัลบั้ม คอมเพรสชั่น มี 4 วง วงละ 2 เพลง ถ้าเทียบทั้งหมดผมรู้สึกผมห่วยสุดใน 4 วง กระแสตอบรับผม ผมก็ไม่รู้เพลงตอนนั้นอาจจะยังไม่ดีพอมั้ง เราก็คงไม่ดีพอ อัลบั้มนั้นที่ดังสุดคือ 60 Miles เพลงเวทมนตร์

ในวันที่ยกเลิกสัญญา

สุดท้ายเราเลยตัดสินใจขอเขายกเลิกสัญญา ถ้ามาใช้สมองตอนนี้คิด ผมคิดว่าเราอาจจะอีโก้สูงไป เราอยากทำเพลงแบบที่ตัวเองอยากทำเกินไป ซึ่งสิ่งที่ทำมันอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ มันอาจจะไม่ใช่สไตล์ที่คนไทยชอบช่วงนั้น 

...

พอยกเลิกสัญญาเสร็จ ผมก็กลับมาคุยกับพี่นอที่เชียงใหม่ว่าเอาไงดี ยังอยากทำเพลงอยู่ พี่นอก็แนะนำว่า ถ้าเตอร์อยากขุดทองต้องไปอยู่ในที่ที่มีทอง ก็เลยตัดสินใจออกจากบ้าน มีเงินมาก้อนหนึ่ง เช่าที่พัก แต่ว่าจะมีคนที่เชียร์เราเสมอ คือพี่ศิลา วงซีล 

ตอนที่เรามาทุบหม้อข้าวหม้อแกงมาใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพจริงๆ นั่งกินมาม่ากันอยู่ 2 คน แล้วบอกว่า พูดแล้วก็ เออ มันเหมือนเพลงพุ่มพวง ไม่เด่นไม่ดังจะไม่กลับบ้าน (เสียงสั่นน้ำตาคลอ) 

ยังจะทำตามความฝันต่อไป 

ต้องบอกก่อนว่าฝันเดิมผมยังไม่ได้ล้มเลิกนะ ดนตรีแบบที่มีกลอง มีเบส แต่โควิดเราเข้าบันทึกเสียงกับเพื่อนไม่ได้ เจอใครไม่ได้ ใช่มั้ย งั้นเราทำอะไรได้บ้าง เราเป็นเด็กเชียงใหม่นี่หว่า เราโตมากับ จรัล มโนเพ็ชร นี่หว่า โอเค งั้นเราเอาฟอร์มนี้เขียน ก็เลยเกิดเพลงแรก ชื่อเพลงนอนเถอะนะฉันจะดูแล

ทำมาก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว เราทำเพื่อจะได้จบความฝันนี้ซะที ก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้คาดหวังมาก แฟนๆ ก็ค่อยๆ จาก 10 เป็น 20 ค่อยๆ มา ร่วมๆ มาปีนี้เป็นปีที่ 3 ผมใช้ชื่อว่าโฟล์คซองคำไทย

...

สนุกมากเพราะมันได้เล่าความจริง เพลงพวกนี้มันได้เล่าความจริง ไม่ต้องจินตนาการ เรื่องเรื่องจริงๆ แต่ถ้าผมทำเพลงป๊อป ผมก็จะเล่าอีกอย่าง วิธีพูด ภาษาพูดอีกอย่าง แต่พอมันเป็นโฟล์ค ภาษาชาวบ้าน เล่าง่ายๆ ก็เลยทำเพลงถัดมา ชื่อเพลงว่าท็อปในรุ่น 

อย่างตอนท็อปในรุ่น ประสบการณ์แรกที่มันรู้สึกว่า เฮ้ย เราดังนะ เพลงตั้ง 5 ล้านวิว MVไป 10 ล้านวิว เหลิงๆ เดี๋ยวก็มีคนมาจ้างเรา ผ่านไปเดือนก็ไม่มี 2 เดือนก็ไม่มี เออ เพลงดังแต่ไม่มีงานจ้าง อะไรการันตีไม่ได้เลยนี่หว่า ถึงแม้ว่าเพลงดังก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีงานจ้าง 

สานบานได้เลย แจ้งเกิดให้ฮันเตอร์ 

แต่พอเพลงสาบานได้เลย มันมาปึ้ง วันแรกที่รู้คือร้องไห้เลย ร้องไห้แบบว่าไม่ได้ร้องเพลงมันดังนะ ร้องไห้เหนื่อยมานาน ร้องเหมือนเด็กเลย (เสียงสั่นน้ำตาคลอ) ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าอยากจะบอกใคร ก็คงอยากบอกพ่อ บอกแม่ แต่ว่าเขาไม่อยู่แล้ว 

คือผมปล่อยเพลงวันอังคาร แล้วขึ้นไปทัวร์ที่เชียงใหม่ เป็นโฮมสเตย์เขาจ้างเราไปเล่น มีแฟนๆ ประมาณ 20 คน เราไม่ถือมือถือเลยเพราะเซอร์วิสกันอยู่ มันเป็นแบบโฮมมี่ อยู่ด้วยกันทั้งวัน กินข้าวกัน รู้จักกัน เล่นเพลงให้เขาได้ฟัง พอลงมาในเมืองเชียงใหม่ถึงรู้

...

วันที่แต่งเพลงสาบานได้เลยก็คือนั่งอยู่ในห้องนอน ก็แต่งก็ร้องฮัมไปเรื่อย พอได้ประโยค สาบานต่อหน้าดวงดาว สาบานต่อหน้าดวงจันทร์ฉันไม่เคยรักใครมากกว่าเธอ เห้ย น่ารักดี ทำดีกว่า ก็เริ่มแต่งไปเรื่อย

จินตนาการดนตรีออกแล้วมันควรจะเป็นแบบลูกทุ่งย้อนยุค มันค่อยๆ จินตนาการออกมา และเราก็ให้เหตุผลตัวเองได้ด้วยว่าทำไมเราจะไม่มีสิทธิ์ทำเพราะว่าเราก็โตมาในบ้านที่พ่อฟังแต่เพลงลูกทุ่ง จะมีเหตุผลอะไรที่เราจะทำไม่ได้ ก็เลยทำ

สิ่งที่อยู่ในใจที่อยากจะบอกพ่อแม่

ทุกครั้งก่อนขึ้นเวทีผมจะ (พนมมือ) พูดถึงเขาเสมอแล้วค่อยเดินขึ้นเวที เขาไม่ชอบให้เราเดินทางนี้ครับ จริงๆ เขากลัวว่าจะเป็นอาชีพไม่ได้ แต่ว่าด้วยความที่คุณพ่อเสียเร็ว เขาก็เลยรู้สึกว่าต้องเป็นทุกอย่างให้เรา ถ้าเราอยากเป็นอะไรก็เป็นอันนั้น 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากเป็นเด็กดีกว่านี้ จะได้ไม่ลำบากแม่ โตมาเพิ่งเข้าใจว่าแม่ลำบากกว่าเราเยอะมาก ผมก็ไม่ได้เป็นคนแบบเกเร ชกต่อยอะไรแบบนั้น แต่ผมดื่มเร็วไปหน่อย แล้วทีนี้เวลาขอ สมมติจะไปโรงเรียน แม่ขอตังค์ซื้อสายกีตาร์ สมมติสายกีตาร์มัน 200 ผมบอก 500 

มีรูปหนึ่งที่ผมกลับมาดูเมื่อไหร่ผมร้องไห้ตลอด ก็คือมีวันหนึ่ง แม่ผมเขาได้บัตรเครดิตใหม่ อยู่ดีๆ ก็ผ่าน ได้บัตรเครดิตวงเงิน 5 หมื่น เขาก็ดีใจมาก วันนั้นก็ไปห้างกัน แล้วเขาบอกอยากได้อะไรมั้ย เดี๋ยวแม่รูดให้ สิ่งที่ผมรูดคือกล้อง Nikon 45,000 เขาได้ 50,000 ผมเอา 45,000 คิดดูดิ

แล้วผมก็มีความสุขมาก และก็ไปนั่งกินสเวนเซ่นกัน แล้วผมก็ถ่ายรูป รูปแรกเป็นขาวดำถ่ายเขา ตอนนั้นแค่รู้สึกแบบ พอโตมา เราทำอะไรลงไป เราเอาเงิน ทำงั้นได้ไง (เสียงสั่น) ทุกวันนี้เห็นรูปนั้นไม่ได้เลย เรารู้สึกว่าเรา ใช้คำว่าชั่วได้หรือเปล่าไม่รู้ เรารู้สึกอย่างนั้น ทำไมเราชั่วอย่างนี้ คนเหนือเขาว่า "ค่ำป้อค่ำแม่" (ลูกไม่รักดี) 

ตอนนี้ผมพอใจมันละ ผมกำลังอยู่ในจุดที่ผมพอใจละ ผมไม่อยากจะเดินขึ้นไปอีกละ ผมพร้อมเดินลงแล้ว ไม่ได้ภูมิใจในความสำเร็จ แต่ภูมิใจตัวเองครับ ล้มเหลวได้แต่ไม่ล้มเลิก ถ้าวันหนึ่งเราจะหายไปจากวงการก็ไม่เป็นไร 

แม้ในวันนี้จะเริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ฮันเตอร์ก็ยังมองว่าตัวเองเป็นแค่นักร้องตัวเล็กๆ คนหนึ่ง และจะยังคงทำฝันของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรง และเราเชื่อว่าเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้จะเป็นพลังผลักดันให้คนที่มีความฝันเหมือนกันมีแรงที่จะสู้ต่อไป