สมมง “ราชินีดอกหญ้า” จริงๆ สำหรับ ต่าย-อรทัย ดาบคำ นักร้องลูกทุ่ง-นักแสดงสาว มาพร้อมเพลงใหม่ “ผู้หญิงหัวใจอีสาน” จากค่าย แกรมมี่ โกลด์ จากปลายปากกาของครูเพลงคู่บุญ สลา คุณวุฒิ ตอกย้ำความหมายของคำว่า “หัวใจอีสาน” แบบตรงไปตรงมา ยอดวิวสุดปัง! ทะลุ 1 ล้านวิวใน 1 วีกเท่านั้น

สาวต่ายเล่าถึงที่มาของเพลงกับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้สวยหรู ผ่านความยากลำบาก แต่ภาคภูมิใจในความเป็น “ลูกข้าวเหนียว ลูกอีสาน” ของแทร่! มาพร้อมเลือดนักสู้เต็มตัว เปิดอาณาจักร “นาไทนาต่าย” รีสอร์ต-คาเฟ่ สร้างจากหยาดเหงื่อและแรงฝัน ส่วนความรักอายุอานามผ่านมาไกลโข จะมีหรือไม่มีใครก็ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าหากมีแค่มาเติมเต็มความสุข แต่ถ้าไม่ใช่ก็อยู่โสดๆแบบสุขได้

เริ่มจาก...กับซิงเกิลใหม่ ผู้หญิงหัวใจอีสาน ที่มายังไงเหรอ

“จริงๆขอบคุณค่ายด้วย ขอบคุณเสียงตอบรับจากแฟนเพลงด้วยที่อยากให้มีเพลงใหม่ อัลบั้มใหม่ ก็ยังอยากทำงานเพลงให้คนได้ฟังค่อนข้างยากมี 1 เพลง ไม่ต้องพูดถึงอัลบั้ม ใน พ.ศ.นี้ 1 เพลงก็ยากแล้ว เพลงในมุมอื่นๆเราเล่ามาหมดแล้ว จนครูสลา โปรดิวเซอร์ และคุณฟ้าใหม่ ผู้บริหารมีการประชุมงานว่ามาถึงอัลบั้มนี้ต่ายจะเล่าเรื่องอะไรดี มันถือว่าเป็นโจทย์ให้ผู้ใหญ่ค่อนข้างหนัก หนักใจจนช่วงประชุม ครูสลาเล่าสู่กันฟัง ผมไม่รู้เล่ามุมไหนเหมือนกัน คุณฟ้าใหม่ก็พูดว่าถ้าในมุมผมที่เป็นคนกรุงเทพฯ พี่ต่ายเป็นผู้หญิงหัวใจอีสาน ต้องขอบคุณคุณฟ้าใหม่ด้วยที่เป็นครั้งแรกเลยแต่งชื่อเพลงให้ ตั้งชื่ออัลบั้มให้ เป็นความเป็นพิเศษมากๆจริงๆ ในอัลบั้มจะมีทั้งหมด 5 เพลง ความเปลี่ยนในอนาคต อาจจะเติมเข้าไปได้ เป็นการเหมือนกับการเล่าเรื่องทั้งหมดกับเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของต่ายว่าเราทำไมต้องใช้ชื่อว่า ผู้หญิงหัวใจอีสาน เพราะเราเป็นคนอีสาน เป็นลูกชาวนา ลูกข้าวเหนียว กินข้าวเหนียวตำบักหุ่ง สู้ชีวิตมานานขนาดไหนก็ตามเราก็ยังเป็นเรา ตราบใดที่หมอลำยังมีคำโอ้ละหนออยู่ ความเป็นตัวตนของเฮา ความเป็นลูกอีสาน ความเป็นลูกชาวไร่ชาวนายังคงฝังในจิตสำนึกของเฮาแน่นอน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

...

ถือเป็นอัลบั้มที่เท่าไหร่แล้ว

“อัลบั้มหลักที่ผ่านมา คือ 12 อัลบั้มแล้วค่ะ ส่วนอัลบั้มนี้ถ้านับเป็นอัลบั้มก็นับว่าอัลบั้มที่ 13 ได้ เพียงแค่ว่าการนำเสนออัลบั้มมันจะแตกต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้อาจจะไม่มีม้วนเทป ซีดี ดีวีดี จับต้องได้เหมือนเมื่อก่อน ว่าด้วยการนำเสนอผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อัลบั้มชุดที่ 13 ผ่านโซเชียล เป็นการปล่อยทีละเพลง เมื่อก่อนอัลบั้มภาพรวม 10 เพลง เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่งให้สถานีต่างๆ”

ต่ายอยู่เส้นทางสายดนตรีนี้มานานขนาดไหนแล้ว

“22 ปี แล้วค่ะ เรามีความรู้สึกอีกหลายๆเรื่อง เรายังไม่รู้เลย 20 ปีแล้วเหรอ? ตั้งคำถามเองกับตัวเองเหมือนกัน ครึ่งนึงของชีวิตแล้วนะ”

เพลงนี้ตั้งใจเล่ามุมไหนบ้าง

“มาครบเลย ข่อยเป็นคนอีสานเด้กินข้าวเหนียวตำบักหุ่ง เป็นลูกหลานน้ำโขงชีมูล มีวัฒนธรรมประเพณีที่ถูกหล่อหลอมมาอยู่ในสายเลือด ข่อยเป็นคนคิดแบบนี้ ภาคภูมิใจ ข่อยมีภาพความทรงจำแบบนี้ ข่อยมีความอดทน มุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าเราอยู่ตรงไหนเราก็ยังเป็นลูกอีสานโดยแท้ เห็นหน้ากันเว้าอีสานบ้านเฮาเลย”

ต่ายหน้าตาเป็นโลโก้ความเป็นผู้หญิงอีสานอยู่นะ

“แม่นค่ะ (หัวเราะ) เราก็ชัดเจนดี เห็นแค่โครงหน้าทุกคนก็รู้ว่าเราเป็นคนอีสาน รู้สึกสไตล์เราชัดเจนดี ไปเปรียบเทียบวงการบันเทิง นางแบบ โครงหน้าข้าวเหนียวชัดเจนมาก เราก็ภูมิใจนะ ไม่ได้รู้สึกโกรธ เพราะเรากินข้าวเหนียว ลูกอีสานอีหลี”

กับแนวดนตรีแตกต่างจากเพลงที่ผ่านมายังไงบ้าง

“แนวเพลง จริงๆท่วงทำนองผู้หญิงหัวใจอีสาน เป็นลูกทุ่งอีสานขนานแท้เลย แต่ที่มีความพิเศษสอดแทรกเข้าไปในดนตรีที่ทุกคนได้ฟังไปพร้อมกับภาพชัดเจน จะมีความเป็นอีสานก็มาเต็ม 100 ให้ทุกคนเห็นภาพที่ยิ่งใหญ่มาก ก็เป็นออเคสตรา ที่จะมีความผสมผสานในท่วงทำนองอีสานไปพร้อมๆกัน เปรียบยุคสมัยนี้ก็คือ ความเป็นอีสานแต่มีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โลกจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน เหมือนเราเอาออเคสตรามาใส่ในเพลง คนอื่นได้ฟังเพลงนี้จะเห็นภาพยังไงไม่รู้แต่เราเห็นแน่ๆ คือเราจะเห็นว่าสู้ชีวิตมายังไง เบื้องหลังชีวิตเราเป็นแบบไหน เราประสบความสำเร็จมาจนถึงวันนี้ได้ เราผ่านอะไรมาบ้าง ผ่านเพลงนี้ทั้งหมด และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของต่ายที่เรามานั่งเล่าภาพมันชัดมาก ท่วงทำนองลูกทุ่งอีสานขนานแท้ หลายคนอาจจะไม่ได้ฟังนานแล้ว อาจจะคิดถึง ยิ่งเราใส่ความเป็นออเคสตราลงไปอีก ต่ายเห็นภาพตัวเองขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่เหมือนกับต่ายขึ้นเวทีมีคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งนึง เห็นภาพนั้นเลย เหมือนต่ายเอาเพลงนี้ไปเล่าเรื่อง ไปร้อยเรื่องทั้งโชว์ ทั้งเวที แสงสีให้ทุกคนได้เห็นบนเวที”

นอกจากความพิเศษดนตรีจะได้เห็นต่ายมาโยกๆ แดนซ์ๆขยับๆมากขึ้นมั้ย

“จริงๆหลายคนไปดูคอนเสิร์ตตามงานต่างๆมี ที่ผ่านมาพยายามพัฒนารูปแบบการโชว์มาตลอด ประมาณ 5-6 ปีหลัง จากเป็นนักร้อง ขยับมาเป็นงานโชว์มากขึ้นให้ทุกคนได้เห็นแน่ๆ มีส่วนร่วมกับแดนเซอร์มาตลอด 10 กว่าปี ได้แล้วที่เรามีรูปแบบงานโชว์ มีเพลงหมอลำ เพลงเปิดโชว์ด้วยวัฒนธรรมสวยๆ เห็นท่วงทำนองท่าร่ายรำกับแดนเซอร์ พาร์ทเพลงเร็ว ผู้ชมได้เห็น แต่ถามว่าคาดหวังเต้นๆขนาดไหน ถ้าสายแดนซ์เลยอาจจะไปไม่ถึงขนาดนั้น ทุกคนได้เห็นมูฟเมนต์บนเวทีร่วมกับแดนเซอร์ แต่ถ้าผ่านเพลง ผ่านมิวสิกวิดีโอ น้อยมาก”

จะมีโอกาสเห็นต่ายแดนซ์เอวพลิ้ว จังหวะโจ๊ะๆ บ้างมั้ย

“(หัวเราะ) มันยากค่ะ”

มีลงเรียนเต้นโดยเฉพาะเลยมั้ย

“จริงๆก่อนเป็นนักร้อง ตอนเป็นศิลปินฝึกหัดปีแรก เรียนร้องเรียนเต้น เรียนการแสดง เรียนพูด สารพัดเรียน แต่เรียนมากสุดร้องเพลง อื่นๆ ไม่ได้เลยค่ะ (ยิ้ม)”

...

การแสดงก็ได้อยู่นะ

“การแสดงเพิ่งมาได้เรียนรู้จริงๆ ละคร 3-4 เรื่องนี่เอง เพิ่งเปิดใจรับได้ละครเรื่องที่ 3 ที่ 4 นี่เอง”

อะไรที่ทำให้เราเปิดใจกับศาสตร์การแสดง

“จริงๆคือโอกาส ก่อนหน้าเราอาจจะมีกำแพงบางอย่าง เป็นความกลัวๆ ความไม่มั่นใจ อีกข้อเราไม่มีประสบการณ์ แน่นอนพอเราไม่มีประสบการณ์ก็จะกลัวไปทุกอย่างก็จะปฏิเสธไปเลย ในช่วงเริ่มที่เป็นศิลปิน มีชื่อเสียงจริงๆก็มีโอกาสเข้ามา จากช่องต่างๆ มีติดต่อเข้ามา อยากให้เราไปแสดงแต่เราไม่กล้า เรากลัว เราตัดโอกาสตรงนั้นไป มานึกย้อนไปตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เก่งการร้องเพลง ยังมีอีกหลายๆ เรื่องมากๆ เราต้องเรียนรู้กับการร้องเพลง และพัฒนาตัวเอง ถ้ามันพร้อมกันช่วงนั้นการร้องเพลงอาจจะมาไม่ได้ไกล ขนาดนี้หรือเปล่า? แต่ก็ขอบคุณทุกช่วงเวลา มันเป็นโอกาสและจังหวะดีๆที่เข้ามา”

ย้อนเหตุการณ์ช่วงนั้นที่ตัดสินใจรับละคร อะไรที่ทำให้เรายอมลองเปิดใจล่ะ

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ไม่เชิงโดนกล่อมแต่คิดว่าเราน่าจะอยากทำลายกำแพงความกลัวตรงนั้น เหมือนกับช่องวัน ผู้ใหญ่เหมือนอยากให้มาเล่นจริงๆ อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผู้ใหญ่มาคุยกับเราจริงจัง ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาโอกาสมันไม่ดีนะ ดี แต่อาจจะไม่มีใครเล่าว่ามันดียังไง เราควรพัฒนาตัวเองยังไง แบบว่าทำลายกำแพง ทำให้เราหายกลัวสามารถทำได้ด้วยวิธีนี้ๆ เมื่อก่อนไม่มีแบบนี้ ด้วยจังหวะและโอกาส”

แสดงว่าก่อนหน้ามีแต่คนชวนหยิบโอกาสให้เฉยๆ แต่ไม่มีคนอธิบายชี้ทางให้

“ใช่ๆ แค่ติดต่อหยิบยื่นโอกาสมา สิ่งที่เรากลัวหลายคนอาจจะไม่ได้รับรู้เรารู้สึกกลัวจริงๆ ไม่กล้า แต่ ณ ตอนที่มีโอกาสแล้วก้าวเข้ามา ผู้ใหญ่ทำให้เราได้เห็นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด สนุกนะ และมีผลดีตามมายังไงมากกว่าค่ะ”

...

โหย เพิ่งมาเปิดใจกับการแสดงละครก็ปาไปเรื่องที่ 3 แล้ว

“คือ 2 เรื่องแรกเราก็งงมากๆ ตอนนั้นที่รับเล่นเรื่องแรก เรายังมีรับงานคอนเสิร์ตเยอะ และละครถ่ายทำช่วงปลายปี เรานอนไม่พอด้วย ซึ่งการถ่ายละครต้องพักผ่อนให้เพียงพอจริงๆ เพราะกองจะนัดคิวแต่เช้ามากๆ การทำงานเป็นแบบนั้นเช้าไป-6 โมงเย็น บางคิวก็ 4 ทุ่ม แล้วเรายังมีงานคอนเสิร์ตยังแน่นอยู่ รับไว้แล้วปฏิเสธไม่ได้ ละครก็มาถ่ายพร้อมกัน มีความรู้สึกเราไม่พร้อม เหมือนเราได้ไม่เต็ม 100 เวลาไปกองรู้สึกเหนื่อยมากยังไม่มีความสุข เปิดรับครึ่งต่อครึ่ง แสดงได้แต่มีความสุขได้ไม่เต็มร้อย ไปกองแล้วเครียด ด้วยมุมกล้อง ไม่รู้จักและเราไม่รู้จะแสดงยังไง ยังไม่เข้าใจว่าบริบทตอนนี้เราต้องรู้สึกแบบไหน ที่ผ่านมาเล่าเรื่องอะไรมาแล้วถึงเป็นแบบนี้ เรายังไม่เข้าใจ ความไม่เข้าใจบวกนอนไม่พอ บวกเครียด กังวล มันหลายอย่างมาก”

ตอนนี้มี 2 บทบาท นักร้อง-นักแสดง ถือว่ามาไกลกว่าที่คิดที่ฝันเอาไว้

“มาไกลมาก (ลากเสียง) ไกลมากจริงๆ” เป็นคนอยู่ไม่นิ่งทำอะไรตลอดเวลา เป็นต่ายร้อยโปรเจกต์เหมือนกันนะ หาทำตลอดเหมือนกัน “ยังมีหลายโปรเจกต์เลยที่พับกระดานไปก็มีค่ะ ที่เป็นรูปร่างจะมาก็คือ รีสอร์ตที่พัก คาเฟ่ ที่ จ.นครนายก ในพื้นที่ 6 ไร่ ตอนนั้นสถานการณ์โควิด อยู่ดีๆผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่เคยมีภาพในหัว ทำให้เราพยายามมองหาเราควรทำอะไรได้บ้าง พอเราเห็นเส้นทางศิลปินมันหยุดนิ่งทุกอย่างเป็นศูนย์หมด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น คิดว่าทุกธุรกิจ ทุกครอบครัวเผชิญความรู้สึกนั้นมาพร้อมกัน คิดว่าหลายๆคนต่อสู้เหมือนกัน สิ่งที่ทำอยู่เคยมีรายได้ คิดว่ามั่นคงแต่มันไม่กลับมา หรือกลับมาแล้วกลับไปเป็นอีกเหมือนเดิม มันจะเป็นยังไง คิดเยอะมาก ทำอะไรได้บ้างนะในสิ่งที่มีอยู่ช่วงนั้นหาอะไรทำไป ขายสาคู ปลูกผัก ไลฟ์ขายของเสื้อผ้าในตู้ไลฟ์ขายหมด สนุกมั้ยสนุก ขายได้คุ้มทุนมั้ยไม่คุ้ม (หัวเราะ) แต่อยากหาทำไปเรื่อยๆ มาผุดอันนี้ เรามีพื้นที่อยู่แล้วก็ได้จากน้ำพักน้ำแรง นี่แหละ ค่อยๆเก็บหอมรอมริบเอา ไม่ได้กู้ ค่อยๆขึ้นทีละหลังเป็นแคมปิ้ง โพสต์ไปมีคนสนใจ ไปๆมา สร้างมาเรื่อยๆ จนมี 9-10 หลัง มาจากคำแนะนำของแฟนๆที่ไปพัก ก็แนะนำพี่ต่ายต้องมีครัว มีคาเฟ่รองรับนะ ค่อยๆขยับมาเรื่อยๆ”

...

กลายเป็นกิจการใหญ่โตไปแล้ว

“เป็นกิจการใหญ่โตในมุมของเรา คนอื่นมองใหญ่ไม่รู้ เราก็สุดๆแล้วในพละกำลังที่มี”

เหมือนเป็นคนอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ต้องหาอะไรทำไม่ให้ว่าง

“ไม่เชิงเหตุผลนั้น แต่ส่วนหนึ่งก็ใช่และต่ายเป็นคน จริงจัง และคิดว่าไม่ได้ทำเล่นๆ เคยได้ยินคนพูดคำนี้นะว่า เราทำเล่น อุ้ย! ไม่ได้ทำเล่นนะ อันนี้จริงจัง เงินที่เราหามาได้จากน้ำพักน้ำแรงเราเอาตัวเราเองร้องเพลงไปแลกเงินมา กว่ามาถึงตรงนี้ได้”

แฟนๆจะแซวต่ายทำงานเยอะมากในเวลาเดียวกันเหมือนร้อนเงินเลย

“โอ้ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ (หัวเราะ) จังหวะมันได้ มันมา อย่างโฮมสตูดิโอที่ขึ้นที่บ้านที่เราอยู่ เราคิดฝันมานานแล้ว ภาพชัดกว่ารีสอร์ต แต่มาทีหลังเพราะว่าเราไม่รู้เริ่มจากตรงไหนและขึ้นตรงไหนที่พื้นที่ที่เรามี กลายเป็นทำรีสอร์ตที่นครนายกก่อน เป็นจังหวะค่อยทำโฮมสตูดิโอ เพราะปี 63 ต่ายรีโนเวทบ้านชั้นเดียว อยากให้ตัวเองทีมงานมีห้องซ้อมเลยรีโนเวทเป็นบ้าน 2 ชั้น แล้วชั้นบนจะมีห้องซ้อมยาวๆ แต่กว่าจะรวมตัวซ้อมทีนึง นานๆที ก็อยู่ว่างๆแบบนั้นเราทำอะไรกับมันได้ ก่อเกิดรายได้เล็กๆให้เราปรึกษา ให้เราเป็นสตูดิโอถ่ายภาพได้มั้ย บ้านถ่ายละครได้หรือเปล่า? ปรึกษาหลายคน ทำได้มั้ยทำได้แต่ต้องลงทุนกับมันอีกนิดนึง อุปกรณ์ต่างๆ ก็ลุยเลยค่ะ บางอย่างเราทำไม่เป็นก็พี่ออกแบบให้หน่อยได้มั้ย”

เรียกว่าตอนนี้ในหัวมีแต่คำว่างานอย่างเดียวเลย

“เมื่อก่อนไม่ขนาดนี้ ก็จะอยู่ที่การทำงานเพลง คอนเสิร์ตเราไปคอนเสิร์ตที่ไหน เตรียมตัวซ้อม บริหารการนอน ออกกำลังกาย การรับงาน พัก ตอนนั้นโฟกัสอยู่แค่นี้ เพราะคิดว่าหนักและเหนื่อยแล้ว เราคิดว่าอันนั้นค่อนข้างหนักแล้ว หลังจากโควิดเกิดอันนี้ เราอุ้ย! เป็นคนนึงคิดงานตลอดเวลาได้นะ ก็สนุกดีเนอะ เราก็มีความสุข น้องๆมาอัปเดตทำอะไรไปแล้วบ้าง สนุกกับมัน ในหัวมีแต่เรื่องงาน”

หลังๆดูใส่ใจสุขภาพ หันมาออกกำลังกายมากขึ้น

“จริงๆ การออกกำลังกายของต่ายเป็นคนดูแลสุขภาพมานานมากๆ ให้ความสำคัญนอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายและทานอาหารที่เป็นประโยชน์ มันอยู่ในเรื่องการดูแลตัวเองเพื่องานคอนเสิร์ตอยู่แล้ว แค่ว่าหลายคนเพิ่งมาเห็นตามโซเชียล จริงๆเริ่มออกกำลังกายจริงจังตั้งแต่ปี 52 แล้วค่ะ เมื่อก่อนมีภาพนิ่งตีแบดไม่มีคลิป คิดว่าถ่ายรูปเล่นๆแต่เมื่อก่อนตีแบดจริงจัง”

ไม่ว่าทำอะไรต่ายจะจริงจังทุกเรื่องจริงๆ ไม่เคยเล่นๆแบบปล่อยผ่าน

“จริงจังด้วย เล่นด้วยให้ได้กำลังกันจริงๆ ไม่ได้เป็นเกมยากจนเครียด ตีแบดแบบนับเซตจริงจังภายใต้ความรีแลกซ์ สนุกสนานในการเล่นกับคนอื่นๆ”

มาอัปเดตความรักในวัยนี้ยังคิดหรือมองข้ามในการมีครอบครัว สร้างครอบครัว

“ตอนนี้มีก็ได้ ไม่มีก็ได้แล้ว เมื่อก่อนภาพชัด อายุ 30 เป็นช่วงอายุที่ดีที่จะมีครอบครัว มีลูกไม่เร็วเกินไปไม่ช้าเกินไป พออายุล่วงเลยมาเลข 4 กว่าๆแล้ว มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ถ้าจะมีใครสักคน ด้วย ณ ตอนนี้เราก็รู้สึกมีความสุขดี มีความสุขมาก ทำงานยังมีแรง มีฝัน ถ้ามีเข้ามาจะต้องมาเติมเต็มให้เรามีความสุขยิ่งขึ้นไป ไม่ใช่ว่ามีแล้วมานั่งทุกข์ใจกันหรือดึงเราลงมาอย่างนั้นไม่มีดีกว่า ไม่มีเลยก็ได้ไม่ซีเรียส ถ้าคุยแล้วไม่โอเคเราก็ตัดเลย คิดว่ามาแบบนั้นเราไม่มีดีกว่า ตอนนี้เรามีความสุขเต็มๆ สุขแบบโสดๆอยู่แล้ว ไม่ได้ว่างนะ ทำงานตลอด”

ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรักเท่าตอนวัยรุ่นแล้ว

“เราไม่ได้มองว่าไม่สำคัญ ในเรื่องความรักเป็นพลังขับเคลื่อนให้ทุกคนอยู่แล้ว ความรักของพ่อแม่ ครอบครัว มิตรภาพทีมงาน ต่ายมองว่าความรักทุกมิติเป็นแรงขับเคลื่อนทั้งหมด เป็นพลังสำคัญทั้งหมด ถ้าเราขาดความรักจากครอบครัวเราจะมาไม่ได้ไกลขนาดนี้ ถ้ามีความรักแบบคู่รัก ไม่ได้เติมเต็ม ยังเป็นทุกข์ ก็ดึงถ่วงกันได้”

โสด แบบสุขๆ ในแบบของต่ายเป็นยังไง

“ถ้าพูดถึงตัวเอง วันนี้เรามีความสุขได้ง่ายๆในแบบของเรา ตื่นขึ้นมานั่งกินกาแฟ ฟังเสียงน้ำตก ได้อ่านหนังสือสักเล่ม ได้คุยกับทีมงานอัปเดตงานถึงไหนแล้ว สำเร็จหรือยัง เป็นความสุขแบบง่ายๆมากๆ ออกกำลังกายได้รู้ความแข็งแรงของตัวเอง ชวนพี่น้องกินกาแฟ ไปตลาดซื้อกับข้าวมากินกันก็มีความสุขแล้วค่ะ”.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่