• อั๋น ภูวนาท เป็นพิธีกรในรายการหนึ่ง เชิญทนายฝั่งลูกหนี้มาคุย ได้ข้อสรุปว่า ลูกหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้สำหรับกรณีนี้เพราะเรื่องของกฎหมาย 
  • ทั้ง 2 ฝ่ายควรมาคุยกัน เรื่องไม่จบเพราะไม่คุยกัน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่คุ้ม
  • หลังจากที่คุยในรายการ ทำให้เห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งได้เปรียบ ซึ่งคิดว่าอีกฝั่งก็รู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งได้เปรียบ เลยใช้มวลชนช่วยกันกดดันเพื่อหวังว่าจะจบ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่คนอยากเห็น เลยกลายเป็นมหากาพย์ เป็นวาระแห่งชาติ

เป็นอีกหนึ่งคนบันเทิง สำหรับ อั๋น ภูวนาท ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องวาระแห่งชาติ เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ของ ลูกหมี รัศมี และ ปู มัณฑนา ล่าสุดได้เจออั๋น ก็ไม่พลาดที่จะสอบถามถึงเรื่องนี้ เพราะล่าสุดเจ้าตัวได้สัมภาษณ์ อ.ประมาณ ทนายฝั่งของปูในรายการหนึ่งว่า 

- อั๋นยืนยันที่โพสต์เรื่องเจ้าหนี้-ลูกหนี้ ก็พูดในมุมเดียวกับคนส่วนใหญ่ ยืนยันไม่ได้มีปัญหากับใครเลย คิดแค่ว่าเมื่อมีเจ้าหนี้และมีลูกหนี้ ลูกหนี้ก็ต้องใช้หนี้ให้เจ้าหนี้ 

...

- แต่เมื่อได้เป็นพิธีกรในรายการหนึ่ง และได้พูดคุยกับทนายฝั่งของลูกหนี้ จึงทำให้รู้และเห็นมุมอื่นที่แตกต่างกันไป เช่น ในมุมของกฎหมายที่เราไม่เคยรู้มาก่อน 

- อั๋นเล่าให้ฟังหลังจากที่ได้พูดคุยกับทนายฝั่งลูกหนี้ว่า ในการไกล่เกลี่ย จริงๆ เจรจาไปแล้วว่าจบที่ 1.4 ล้าน แต่ทนายเจ้าหนี้จะจบที่ 2 ล้าน เลยทำให้การเจรจาไม่สำเร็จ 

- และถ้าหากจ่ายเงินแล้ว สิ่งที่เจ้าหนี้จะดูแลรับผิดชอบอย่างไรกับสิ่งที่ทำให้ลูกหนี้เสียหาย เพราะฝั่งทนายลูกหนี้ไม่ได้ต้องการเงิน ไม่ได้คิดคำขอโทษเป็นเงิน เพราะฉะนั้น เงินส่วนเงิน คำขอโทษส่วนขอโทษ 

- เพราะเหตุนี้ จึงทำให้ทนายฝั่งเจ้าหนี้ถามเจ้าหนี้ว่า พร้อมจะกราบเท้าหรือยัง จนกลายเป็นข่าวอยู่ในตอนนี้ 

- สาเหตุที่ทนายเจ้าหนี้ถามเจ้าหนี้อย่างนี้ เพราะทนายฝั่งลูกหนี้ได้พูดถึงเรื่องของการกราบเท้า แต่ไม่ได้บอกให้เจ้าหนี้มากราบเท้า แต่ยกตัวอย่างว่า "ผู้ใหญ่บางคนของประเทศ เวลาทำผิดแบบนี้เขาจะพูดว่า ถ้าจะขอโทษ อย่าเอาแค่พูดสิ ให้มากราบเท้า"

- อั๋นพูดว่า ทุกคนคิดเหมือนกันว่าถ้าจ่ายก็คือจบ แต่ทนายฝั่งลูกหนี้พูดว่า ลูกหนี้เสียหาย เหมือนถูกสังคมย่ำยีเสียหาย เหมือนเสียแขนไปแล้ว จะให้เสียแขนไปฟรีๆ เหรอ 

- แต่ในอีกมุมหนึ่งคนก็มองว่าต้องให้เสียแขนกับขาเลยเหรอ ในความคิดเห็นส่วนตัว อั๋นคิดว่าเรื่องนี้ต้องจบให้เร็วที่สุดก็แค่นั้นเอง

- ตอนที่โพสต์ก็โพสต์ด้วยความรู้สึกว่า ถ้าคิดว่าเรื่องนี้มันเสียหายมากก็ต้องจบให้เร็วที่สุด และอีกฝั่งเขาก็อยากได้เงินเร็วที่สุด ธรรมชาติของเจ้าหนี้อยากได้เงินคืนเร็วที่สุด ธรรมชาติของลูกหนี้ถ้ากลัวเรื่องนี้เสียหาย กลัวจะอาย ก็ต้องใช้คืนให้เร็วที่สุด มันก็มีแค่นี้

- อั๋นอธิบายให้ฟังว่า ทนายฝั่งลูกหนี้ถือเรื่องการทวงหนี้ตามสื่อ มีโทษจำคุก 2 ปี เพราะฉะนั้นทางฝั่งลูกหนี้มองว่ามีแต้มต่อตรงนี้ ถ้าจะมองเป็นเกม ลูกหนี้มีตรงนี้ไว้ต่อรองกับเจ้าหนี้

- กับกฎหมายอีกทางคือดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายกำหนด กฎหมายคุ้มครองแค่ 15% ถ้าคิด 20% ก็แปลว่าเกินไป 5% ลูกหนี้ไม่ต้องจ่ายส่วนที่เกินไปหรือเปล่า แต่จริงๆ ไม่ใช่ ถ้าหากเรียกเกิน 15% จ่ายเท่ากับศูนย์ แปลว่าคืนแค่เงินต้นก็จบ

- ตอนนี้เป็นเรื่องความรู้ทันกันและกันของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

- และถ้าเรื่องเข้าสู่กฎหมาย ทางฝั่งลูกหนี้เหมือนจะได้เปรียบกว่า

...

- อั๋นย้ำว่า นี่คือสิ่งที่ได้จากรายการ ตัวเองไม่ได้พูดเองเออเอง แค่สรุปสิ่งที่ได้จากการสัมภาษณ์ในวันนี้ 

- อั๋นแสดงความคิดเห็นว่า ทั้ง 2 ฝ่ายควรมาคุยกัน เรื่องไม่จบเพราะไม่คุยกัน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่คุ้ม 

- อั๋นบอกว่า หลังจากที่คุยในรายการ ทำให้เห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งได้เปรียบ ซึ่งคิดว่าอีกฝั่งก็รู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งได้เปรียบ เลยใช้มวลชนช่วยกันกดดันเพื่อหวังว่าจะจบ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่คนอยากเห็น เลยกลายเป็นมหากาพย์ เป็นวาระแห่งชาติ

- อั๋นบอกแม่สอนเราต้องเป็นคนที่นิสัยทางการเงินดี เครดิตเป็นเรื่องที่สำคัญ เสียแล้วเสียเลย ถ้าอยากจะทำธุรกิจ ห้ามเด้ง สัญญาแล้วต้องทำ

- อั๋นย้ำ เครดิตเป็นเรื่องสำคัญ มันเลยมีคำว่านิสัยทางการเงิน ที่ได้ยินมาเลยรู้สึกว่าบางครั้งบางคนไม่ได้เกี่ยวว่ารวยหรือไม่รวย บางคนยิ่งรวยยิ่งงกก็มี บางคนรวยแต่นิสัยทางการเงินแย่ บางคนไม่ต้องมีเงินเยอะแต่น้ำใจยิ่งใหญ่ก็มี อันนี้ไม่ได้ด่าใคร แค่อธิบายคำศัพท์

...