เปิดชีวิตของ บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี อดีตนางสาวไทยปี 2543 กับชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังได้รับตำแหน่ง ซึ่งในปัจจุบันเป็นคุณแม่สุดแซ่บ และยังได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคม จนเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสังคมเลยทีเดียว 

ล่าสุด บุ๋ม มานั่งเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองในรายการ Level Up ที่ออนแอร์ทางช่องยูทูบ Thairath Online Originals ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 น. ซึ่งเจ้าตัวได้เปิดใจเล่าแบบหมดเปลือกถึงชีวิตในแต่ละช่วงวัย โดยเฉพาะชีวิตหลังจากได้รับมงกุฎนางสาวไทย เผยว่า หลังจากที่ประกวดนางสาวไทยปี 2543 แล้วได้มงกุฎในปีนี้ ชีวิตเปลี่ยนทันที จากอิสระกลายเป็นทุกก้าวมีคนจ้องมอง เข้าไปทำงานเพื่อสังคมองค์กร ตั้งแต่วันแรกที่ได้มงกุฎ เพราะเราได้พูดไว้บนเวทีว่าอยากใช้เวทีนี้ทำงานเพื่อสังคม ก็เลยได้ทำมาตลอดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

จากนั้น 4 ปีก็แต่งงาน?

“ค่ะ เรื่องของเรื่องคือ อยากมีลูกก่อน 30 เพราะเขาบอกว่าจะมีลูกฉลาด ไข่ของผู้หญิงจะต้องอายุไม่เกิน 30 เราเลยตั้งเป้าไว้เราอยากได้ลูกที่ฉลาด”

แล้วไปเจออดีตสามีได้อย่างไร?

“เป็นคลาสเรียนของกองทัพเรือค่ะ เขาเรียกว่าพัฒนาความสัมพันธ์ของระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 1 ซึ่งคลาสเรียนนี้จริงๆ ต้องมีอายุ 45+ แต่ของบุ๋มบังเอิญรู้จักกองทัพเรือจากการแข่งขันแข่งเรือใบ ส่วนของคุณวี (อดีตสามี) เป็นตัวแทนคุณลุงคุณน้ามาจากครอบครัวเขา ก็เลยมาเรียน แล้วกลายเป็นเด็กสองคนที่อยู่ในนั้น ก็เลยโดนรุ่นพี่จับคู่ให้”

...

ชอบกันไหม?

“ชอบค่ะ เขาเป็นคนที่หล่อ นิสัยดี เรียบร้อย ตรงสเปกเลย ก็เลยแต่งงาน รู้จักกันมาประมาณปีนึงก็แต่งงาน ได้ตามเป้าที่เราตั้งไว้เลย คือได้ลูกสาว น้องอันดามัน”

เป็นยังไงภาพไม่ได้เป็นอย่างที่คิด?

“อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้รู้จักศึกษากันมากนัก เอางี้ ครอบครัวคนจีนมากๆ ไม่ได้ชอบดารา เราเข้าใจเขานะ เขารักครอบครัว เป็นเรื่องที่ดี เราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เราต้องเดินออกมา แต่ตอนนั้นเป็นการที่หนักมาก เพราะนางงามสักคนจะเลิกกับผัวนี่เป็นเรื่องใหญ่ในยุคนั้นด้วย และทุกคนก็ตัดสินว่าบุ๋มเป็นคนผิด ด้วยความที่เราดูเป็นผู้หญิงมั่นใจ มีป้าคนนึงเดินมาจับแขนเรา แล้วบอกว่า หนูใช่ไหมที่เป็นนางสาวไทย หนูใช่ไหมที่เลิกกับผัว หนูต้องลดทิฐิตัวเองลงนะ ซึ่งป้ายังไม่รู้ความจริงเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงตัดสินเราไปแล้ว (ป้าดูเป็นห่วงไปแล้ว?) เออป้าดูเสือก (ยิ้ม) แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรป้า”

ตอนนั้นโดนกระแสอะไรไหม?

“เยอะ คำว่าชินคงไม่มีใครชินกับเรื่องแย่ๆ หรอก แต่เหมือนต้องทนให้ได้ ยิ่งตอนเลิกกับสามี หมายถึงว่าเราต้องรับผิดชอบลูกเต็มๆ งานในวงการขึ้นอยู่กับชื่อแล้วก็เสียงในช่วงนั้น ขึ้นๆ และลงตลอด เราก็เลยต้องทนกับมัน ทนกับข่าว ทนกับการเขียนข่าวเลวๆ ของนักข่าวบางคน ที่บางทีอยากได้เรา”

เลเวลถัดมา ก็น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เหมือนกัน ที่ทำให้คนรู้จักในฐานะคนที่ช่วยเหลือสังคมจริงๆ กับเคสน้องแก้ม?

“ปี 2557 ค่ะ เคสของน้องแก้ม ที่โดนพนักงานรถไฟข่มขืน แล้วก็โยนร่างน้องออกมา มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดกันทั่วทั้งประเทศไม่ใช่แค่เราคนเดียว ตอนนั้นน้องอันดา 9 ขวบ เราก็เลยหันไปมองน้อง อะไรคือสิ่งที่ทำให้รับประกันได้ว่าเด็กคนนี้จะปลอดภัยต่อไปในอนาคต เราก็เลยรู้สึกว่าต้องทำอะไรแล้ว เพื่ออนาคตของเด็กๆ ก็เลยหันมาดูกฎหมายจริงจัง ศึกษาจริงจัง กฎหมายผู้หญิงไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงมา 30 กว่าปี มีผู้หญิงหลายคนที่พยายามทำมาก่อนหน้านั้นแต่มันไม่สำเร็จ

ไม่ใช่พี่คนแรก รวมถึงภาพ ข่มขืน = ประหาร ซึ่งจริงๆ แล้ว คำนี้มันไม่ได้มาจากพี่ มาจากโซเชียล เพราะทุกคนทนไม่ไหวกับเคสแบบนี้ ซึ่งกฎหมายเมื่อตอนปี 57 จำคุก 4-20 ปี ปรับ 8,000-40,000 บาท ถ้าสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง แล้วชีวิตของผู้หญิงที่เปลี่ยนไปทั้งชีวิต มันแค่นั้นเหรอ

จนกระทั่งเราได้รายชื่อแล้วเราไปยื่นที่สภา ตอนนั้นเป็นยุคของการรัฐประหาร มันก็เลยยื่นง่าย ทุกอย่างเลยผ่านเร็วมาก ก็เลยเปลี่ยนจาก 8,000-40,000 เป็น 80,000-400,000 บาท แต่โทษจำคุกยังเหมือนเดิม

เคยเจอเคสนึงเด็กเจอพ่อเลี้ยงข่มขืน แป๊บเดียวมันออกมามันจะจับขาเด็กลากลงเก้าอี้อีก เราต้องเอาเด็กหนีไปอยู่กับครูที่อื่น เราก็เลยเอาใหม่ นักโทษข่มขืนห้ามมีพระราชทานอภัยโทษ เท่านั้นแหละโดนด่าก้าวล่วงพระราชอำนาจ

พอปี 58 เราได้เปลี่ยนโทษจะมีนักโทษข่มขืน 5 ประเภท ที่ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งถือว่าเราทำสำเร็จ การจับผู้ร้ายหนึ่งคนไม่ใช่เรื่องง่าย และการช่วยเหลือหนึ่งคนไม่ได้ว่าเราจะเป็นนางฟ้า กลายเป็นนางมารของอีก 10 คน เพราะญาติของคนร้ายเกลียดเรา

...

ไปช่วยเคสนึง เป็นคุณลุงอายุ 50 ข่มขืนหลานอายุ 4 ขวบ แต่ญาติเกลียดเราทั้งหมด เพราะบอกว่าลุงเป็นคนดี หาเลี้ยงครอบครัว

มีเคสนึงที่มาของลูกบุญธรรม พ่อข่มขืนลูก เราเอาพ่อเขาเข้าคุก แล้วกลายเป็นเด็กสองคนนั่งมองหน้าเราในห้อง เราก็เลยเลี้ยงดูเขาต่อ เพราะว่าไม่มีคนดูแล”

เคยได้ยินว่าไปช่วยที่ไหน ถึงขั้นโดนโดนขู่ฆ่า?

“อันนั้นไปสร้างโรงเรียนที่นราธิวาส เป็นโรงเรียนพิเศษที่เอาเด็กหัวกะทิ เพื่อไม่ให้เขาไปรับทุนหรือไปเข้ากลุ่มกับผู้ที่ก่อความไม่สงบ เราต้องดึงเด็กหัวกะทิกลับมา ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจ

แต่ก่อนยังไม่มีสนามบินนราธิวาส พี่ต้องลงหาดใหญ่แล้วก็นั่งรถเข้าไป ถ้าทหารก็จะเอาปืน 9 มม. เสียบไว้หน้าเบาะ แล้วบอกว่า นี่ของคุณบุ๋มนะครับ ซึ่งคำนี้ไม่ใช่ว่าถ้ามันมาแล้วดิฉันจะยิงสู้นะคะ เพราะมันมาด้วย M16 สู้ยังไงก็สู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือห้ามโดนจับเป็นตัวประกัน ต้องยิงตัวเองให้ตาย”

ตอนที่เขาบอกว่ากระบอกนี้ของคุณบุ๋มนะ ลังเลอะไรไหม?

“ไม่ ตัดสินใจทำแล้วต้องทำให้สำเร็จ กะว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ก็บาย ซึ่งลูกเราก็รู้ เราบอกเขาว่า วันนึงแม่ก็ต้องตาย จะแก่ตาย จะตายแบบสายระโยงระยาง หรือจะตายอย่างภาคภูมิ แม่เลือกอันหลังนะลูกนะ ให้หนูเข้าใจแม่ด้วย ไม่รู้สิ ชีวิตหนึ่งมันก็แค่นี้

...

พี่อายุก็จะ 50 แล้ว ทำไมต้องใช้ชีวิตอย่างที่คนอื่นอยากจะให้เป็น แต่ฉันไม่มีความสุขในสิ่งที่ฉันอยากเป็น ชื่อเสียงมันอยู่ได้ไม่นาน พี่มีชื่อเสียงมาขนาดนี้พี่ว่าบุญมากแล้ว จากที่พี่ได้ตำแหน่งมา”.

...