• ชีวิตที่เปลี่ยนไป จากเด็กขายข้าวโพดคั่ว แต่ได้โอกาสทำเพลง กลายเป็นศิลปินดัง
  • ความภูมิใจของเด็กวัย 16 ปี ดูแลครอบครัวให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยอมรับกระทบการเรียน เพื่อนฝูงไม่ค่อยได้เจอ
  • ชอบแต่งเพลงมาก แต่งวันละเพลงจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

เรียกว่าเป็นศิลปินดังตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ สำหรับ สไปร์ท ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ หรือ SPRITE แร็ปเปอร์ชื่อดังวัย 16 ปีจากค่ายเพลง HYPE TRAIN ที่แจ้งเกิดแบบเต็มตัวจากเพลง “ทน” ซึ่งร่วมร้องกับ GUYGEEGEE โดยเพลงนี้เคยติดอันดับชาร์ตเพลงระดับโลกอย่าง Billboard Global มาแล้ว อีกทั้งยังมีเพลงดังอีกหลายเพลง อาทิ ปิก้า ปิก้า, เดียวดาย, ไอ้ต้าว, KIMINOTO ฯลฯ

ในวันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับสไปร์ทอีกครั้ง เราชวนหนุ่มน้อยคนนี้พูดคุยถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังกลายเป็นศิลปินดังมาแรงอีกคนของวงการเพลง จากวันวานที่ชีวิตไม่ได้สบาย เพราะครอบครัวไม่ได้มีเงินทองมากมาย แต่ในวันนี้หนุ่มน้อยคนนี้ภูมิใจที่ได้ดูแลครอบครัวให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งพูดถึงความรักในการแต่งเพลง ช่วงไหนมีเวลาจะแต่งเพลงวันละเพลงจนเหมือนเป็นชีวิตประจำวัน และเพลงล่าสุด “ไอ้หนุ่ย” ที่เขาชวนศิลปินรุ่นพี่ RachYO และ SEEDAA THEVILLAIN มาร่วมงานด้วย

...

วันวานที่ไม่ได้สบาย

ก่อนที่จะโด่งดังในฐานะแร็ปเปอร์วัยรุ่นเช่นทุกวันนี้ สไปร์ท ศุกลวัฒน์ เคยผ่านช่วงเวลาที่แม้จะไม่ได้ลำบากหนักมาก แต่ก็ไม่ได้สบาย ถามว่าเหนื่อยมั้ย เขาบอกว่า “มันก็เหนื่อยครับ แต่ผมคิดว่าผมเซ็งมากกว่าในตอนนั้น เพราะ เสาร์-อาทิตย์ เพื่อนผมไปเที่ยว ไปเล่นที่โรงเรียน แต่ผมไม่ได้ไปเล่นกับเพื่อนเพราะผมต้องไปขายของ เพราะบ้านผมขายของ บางทีผมนัดเพื่อนตอนเย็น 4 โมงครึ่งเจอกันที่โรงเรียน ก็ต้องไปขายของ ไม่ได้ไป

ถามว่าเหนื่อยมั้ย มันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น ผมคิดว่ามีคนที่เหนื่อยกว่าเรา แต่ผมคิดว่าเราก็ควรไปอยู่ในจุดที่ดีกว่านี้ถ้ามีโอกาสครับ ก่อนหน้านี้ที่บ้านผมขายข้าวโพดคั่ว ข้าวเกรียบ ผมก็จะย่างข้าวเกรียบ คั่วข้าวโพด ขายของ คิดเงินครับ ผมทำได้หมดทุกอย่าง ก็มีคิดครับว่าอยากไปเล่นกับเพื่อน แต่อีกมุมนึงคือเราขายของได้ก็ดีใจ ได้เงิน ได้ช่วยพ่อแม่”

สไปร์ทเล่าถึงวันที่ไปออกรายการ Super 10 ว่ามีทีมงานรายการติดต่อเข้ามา พ่อแม่อยากให้ไป ก็เลยลองไปดู ช่วงแรกๆ ที่ไปออกรายการคิดแค่ว่าได้เงินก็จบ ไม่ได้คิดว่าไปรายการแล้วต้องได้ไปต่อ คิดแค่ว่าไปแค่นั้นน่าจะจบแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว พอมาประกวดในรายการ Show Me The Money ซีซั่น 2 และเริ่มมีเพลงดัง ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไป

ชีวิตที่เปลี่ยนไป

หลังจากเพลง “ทน” ผลงานของ SPRITE x GUYGEEGEE โด่งดังไปถึงชาร์ตเพลงระดับโลกอย่าง Billboard Global มีแฟนเพลงติดตามผลงานมากมาย ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง สไปร์ทตอบว่า “ผมคิดว่าชีวิตผมก็เปลี่ยนไปนะครับ มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป ที่มันเห็นชัดที่สุดคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเพลง ยอดวิว เพราะเมื่อก่อนผมเคยทำเพลงมีคนดู 3,000 วิว เป็นเพลงที่คนไม่รู้จักเลย แต่ตอนนี้มาดูยอดตัวเองก็รู้สึกแฮปปี้กว่าเมื่อก่อนเยอะครับ

ที่บ้านก็เริ่มมีเงิน ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นมาก ตอนนี้ซื้อบ้านให้พ่อกับแม่อยู่กับน้องครับ เวลาผมไม่มีงานก็กลับไปนอนบ้านที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพิ่งซื้อมาได้ 7-8 เดือนครับ บ้านก็ไม่ได้ใหญ่มากครับ ราคาไม่แพงครับพี่ ต่างจังหวัดก็ 4-5 ล้านบาท ก็เป็นความภูมิใจที่ได้ดูแลครอบครัวครับ พอมาเป็นศิลปิน ที่บ้านก็โอเคครับ เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เราทำมาตลอดตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ว่าวันนึงมันจะเป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ พอมาถึงตรงนี้มันก็โอเคครับ คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนตั้งแต่แรก พาผมไปรายการ ไปร้องเพลงตั้งแต่แรกแล้ว”

ถามว่าที่บ้านเป็นห่วงมั้ยกับการทำงานในวงการ สไปร์ทบอกว่า “ก็เป็นห่วงทุกเรื่องเลยครับ ทั้งเรื่องการใช้คำพูด การวางตัว แต่ก็มีพี่ๆ สอนอยู่ตลอดครับ ที่ค่ายจะมีพี่นีโน่คอยบอก มีพี่ๆ คอยบอก พ่อแม่ก็โทรมาบอกอยู่ครับ ถามว่าเจอกันบ่อยมั้ย ก็มีโอกาสเจอพ่อแม่บ่อยครับ บางทีแม่ก็มาดูคอนเสิร์ตครับ ถ้าเล่นแถวบ้านก็แวะไปนอนบ้าน บางทีเล่นที่กรุงเทพฯ แม่ก็มาดูครับ พอเขาเห็นเล่นคอนเสิร์ตก็บอกว่าเท่ครับ (ยิ้ม) คนมาดูเยอะ แต่ก็ไม่เขินครับ พ่อแม่เราเอง รู้สึกดีใจมากกว่าที่เขาได้เห็นภาพนี้ เพราะเขาอยู่กับผมตั้งแต่สมัยผมไปร้องเพลงแล้วมีคนมาดูผมแค่ 10-20 คน จนวันนึงคนมารอดูเราเป็นร้อยเป็นพัน ก็รู้สึกดีครับ”

...

เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง ตารางงานแน่น ถามว่ารับมือกับชื่อเสียงในวงการยังไง เขาบอกว่า “ผมว่าสภาวะที่ผมอยู่มันน่าจะไม่ถูกที่นะครับพี่ เอาจริงๆ ผมก็เป็นเด็ก เพื่อนผมก็ยังเรียนหนังสือ ยังเล่นกันอยู่เลย ผมคิดว่าผมน่าจะเจอมันเร็วเกินไปครับ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีครับ ถ้าเราเจอเร็วกว่าคนอื่น เราก็จะได้รู้ก่อนว่ามันเป็นอย่างนี้ครับ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรมากครับ แต่ก็เข้าใจครับว่ามันมีหลายอย่าง บางอย่างเราก็ไม่รู้ เราทำงานกับคนโตกว่า ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องยากด้วย แต่ก็โอเคครับ เพราะพี่ๆ ที่ทำงานด้วยเขาก็แนะนำและเข้าใจเราครับ มันก็ทำให้เราโตขึ้นกว่าเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันครับ”

กับวันแรกที่เพลง “ทน” โด่งดังมีกระแสมากๆ ปรับตัวยากมั้ย สไปร์ทบอกว่า “ความจริงไม่ได้ปรับตัวยากครับ ตอนแรกมีเพลงที่ผมทำ เดียวดาย, ปิก้า ปิก้า ที่ได้ร้อยล้านวิว ช่วงนั้นก็มีคุยกับพี่โน่ว่าเพลงต่อไปจะร้อยล้านหรือเปล่า พี่โน่ก็บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เดียวดายก็คือเดียวดาย ปิกาจู (เพลง "ปิก้า ปิก้า") ก็คือปิกาจู ไม่มีอะไรมาแทนหรือโหดกว่านี้ได้ เราก็ต้องหาอันใหม่ที่มันเป็นของมันขึ้นมาอีก ก็เลยได้คิดว่าทนก็คือทน ถ้าเราทำเพลงที่มันเหนือเพลงทน มันไม่มีทาง มันยาก เราก็มีความสุข ชิลๆ ไปดีกว่าครับ”

...

เราถามสไปร์ทว่าอยู่มา 2-3 ปี สิ่งที่ได้จากวงการเพลงคืออะไรบ้าง ถึงตรงนี้แรป็เปอร์ดังนิ่งคิดก่อนตอบว่า “เอาจริงๆ ก็ให้อะไรหลายอย่างครับ ฝึกผมพูด เมื่อก่อนผมพูดไม่ค่อยเป็น เดี๋ยวนี้ก็โอเคขึ้น น่าจะเป็นเรื่องพวกนี้ครับ เรื่องความคิดด้วย เพราะเราได้เจอได้พูดคุยกับพี่ๆ ที่เขาก็โตกว่าเราด้วย”

สิ่งที่ได้จากวงการ

เราถามสไปร์ทว่าอยู่มา 2-3 ปี สิ่งที่ได้จากวงการเพลงคืออะไรบ้าง ถึงตรงนี้แร็ปเปอร์ดังนิ่งคิดก่อนตอบว่า “เอาจริงๆ ก็ให้อะไรหลายอย่างครับ ฝึกผมพูด เมื่อก่อนผมพูดไม่ค่อยเป็น เดี๋ยวนี้ก็โอเคขึ้น น่าจะเป็นเรื่องพวกนี้ครับ เรื่องความคิดด้วย เพราะเราได้เจอได้พูดคุยกับพี่ๆ ที่เขาก็โตกว่าเราด้วย”

ถามว่ามองวงการเพลงแร็ปยังไง เขาตอบ “เอาจริงๆ ผมยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแร็ปเปอร์ ผมถือว่าผมเป็นคนทำเพลงคนนึง ผมคิดว่าเพลงแร็ปมันเริ่มมาไกลกว่าเดิม เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีแร็ปเปอร์เมืองไทยฟีตกับเมืองนอกแล้ว ผมว่ามันน่าจะพุ่งมากครับ”

พอถามว่ามีความฝันอยากโกอินเตอร์ไหม เพราะเคยเห็นร้องเพลงภาษาอังกฤษ เขาตอบว่า “ผมไม่คิดอยากโกอินเตอร์เลยพี่ เอาจริงแล้วผมไม่คิดว่าผมต้องไปเมืองนอกนะ อยู่เมืองไทยเราก็คิดว่าโอเคแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสไปเมืองนอกก็อยากไปครับ ถามว่าเคยมีคนชวนมั้ย ก็มีพี่ๆ เขาคุยอยู่ครับว่าเหมือนจะได้ไปครับ แต่ยังไม่รู้ว่ายังไง”

...

เมื่อย้อนไปวันวานที่ยังไม่มีคนรู้จักเช่นทุกวันนี้ ทำเพลงแล้วยังไม่ดัง ครอบครัวไม่ได้สบาย ไม่ได้มีเงินมากมาย ถามว่ามาไกลเกินฝันมั้ย เขาตอบว่า “ผมรู้สึกว่าผมมาเกินฝันแล้วครับพี่ เพราะผมคิดว่าแค่ได้บ้านผมก็พอแล้ว แต่ตอนนี้มันเกินไปกว่าที่คิดเยอะมากครับ ถามว่าตั้งเป้ามั้ยว่าจะไปถึงจุดไหน เอาเป็นว่าเป้าหมายผมตอนนี้คือเก็บเงินก่อน เพราะผมยังไม่ได้คิดว่าอยากได้อะไรหรือซื้ออะไร พ่อแม่ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไร แต่ถ้าผมโตมา ผมอาจมีความคิดใหม่ก็ได้”

กระทบการเรียน ไม่ค่อยเจอเพื่อน

แต่การที่มีชื่อเสียง มีเงินมีงานมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เราถามว่ามันส่งผลกระทบกับการเรียนไหม ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “กระทบครับพี่ เพราะตอนนั้นที่เรียนปกติ ผมมีคอนเสิร์ต มีรายการ เราก็ไม่ได้ไปโรงเรียน งานก็เยอะ ก็ตามไม่ทันเพื่อน เลยออกมาเรียน กศน. แล้วก็เรียนตามๆ เพื่อนไป ตอนนี้อยู่ ม.5 ครับ ก็หวังว่าปีหน้าจะจบ ม.6 ครับ (หัวเราะ)”

ส่วนการเรียนในมหาวิทยาลัย ถามว่าตั้งใจจะเรียนต่อด้านไหน เขาบอกว่า “ยังไม่รู้เลยครับพี่ว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยไหน หรือเรียนด้านไหนยังไม่ได้คิดเลยครับ แต่น่าจะต้องเริ่มคิดแล้วครับหลังจากที่พี่ถาม (ยิ้ม) ถามว่าปรึกษาพ่อแม่มั้ย มีครับ แม่ก็บอกว่าเดี๋ยวสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะเรียนอะไรครับ” ทำงานเยอะและต้องรับผิดชอบเรื่องเรียน สไปร์ทยอมรับว่าเหนื่อย “มันเหนื่อยครับ แต่เรามาขนาดนี้แล้วก็ต้องสุดไปเลย”

ถามว่าพอมาทำงานในวงการมีโอกาสได้เจอเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันบ้างไหม สไปร์ทบอกว่า “ไม่มีโอกาสเลยครับ เพื่อนๆ อยู่โรงเรียนเดียวกันเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอเลยครับ ก็มีโทรหากันอยู่ แต่ยังไม่ได้ไปเจอกันเลย ชีวิตก็จะอยู่กับพี่ๆ อย่างเดียว ถามว่ารู้สึกยังไง ก็โอเคครับ ผมคิดว่ามันก็ต้องแลกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่ได้เสียดายอะไรครับ”

ไอ้หนุ่ย

เราให้สไปร์ทเล่าถึงคอนเซปต์ซิงเกิลล่าสุด “ไอ้หนุ่ย” เพลงจังหวะสนุกๆ ที่เขาดึงรุ่นพี่สุดซี้อย่าง RachYO และ SEEDAA THEVILLAIN มาร่วมฟีเจอริ่งไว้ว่า “ความจริงคอนเซปต์ก็ไม่มีอะไรเลยครับ เหมือนตอนแรกว่างกัน ทำงานเสร็จเรียบร้อย ก็มีผม พี่โน่ และพี่มอส โปรดิวเซอร์ของ Hype Train เหมือนกับเราขึ้นบีตมาแล้วผมก็ร้องมั่วๆ แต่ตอนพี่โน่ขึ้นบีตมาก็ปั่นๆ เลยครับ เป็นดนตรีเลย ผมก็เลยลองร้องเล่นๆ ดูว่าหนุ่ยทิ้งพี่ไปแบบปั่นๆ

หลังจากนั้นพี่โน่เขาก็ชอบครับ เขาก็บอกว่างั้นทำเพลงนี้ให้เสร็จเลย เราก็เลยตั้งใจทำเพลงนี้ให้เสร็จเป็นเดโมมา แล้วนึกถึงพี่ RachYO กับพี่ SEEDAA ครับ ก็เลยส่งให้พี่ทั้งสองคน เขาก็ชอบกัน ก็เลยนัดกันเข้ามาอัดเพลงแล้วก็ถ่ายเอ็มวีกันจนออกมาเป็นเพลงนี้ครับ เนื้อหาก็คือหนุ่ยทิ้งพี่ไป หนุ่ยเป็นภาษาใต้ ก็แปลว่าผู้หญิงคนนึงทิ้งเราไป แล้วพี่ SEEDAA ก็เข้ามาร้องเป็นผู้หญิงคนนั้นว่าทำไมถึงทิ้งไป ก็เพราะแบบนี้ไง เล่นกันในเพลงครับ

เพลงนี้ก็จะโจ๊ะๆ หน่อย เป็นความตั้งใจครับ อยากให้มันฉีกไปเลย เราไม่เคยทำเลยครับ จะเป็นสตริง ลูกทุ่ง ผมว่าเพลงนี้ไม่ค่อยมีแร็ป แต่จะมีพี่ RachYO มาแร็ปอยู่ครับ ผมไม่แร็ปเลย มันก็ไม่ยากครับ เพราะเราได้ยินเพลงแนวนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว มันอยู่ในหัวอยู่แล้ว ก็เลยไม่ยากเท่าไรครับ เราชอบลูกทุ่ง เรามีเคมีอยู่แล้ว ก็เลยเอามาทำในเพลงนี้ ตอนที่ทำรู้สึกสนุก เป็นอีกแนวเพลงนึงที่ทำแล้วสนุกดี ก็ชอบเหมือนกันครับ”

ในพาร์ทมิวสิกวิดีโอที่สีสันจัดจ้าน สไปร์ทบอกว่า “เอ็มวีก็เป็นพี่ๆ ของ Hype Train คิดว่าอยากได้เป็นแนวไหน เขาก็ทำออกมาเป็นวงดนตรีแข่งกันร้องเพลง แล้วมันจะมีวงผมที่ชื่อว่าไอ้หนุ่ยไปแข่ง เอ็มวีก็จะเป็นฟอนต์ลูกทุ่งเลย ภาพที่ออกมาจะเป็นแสงสีสมัยเก่าๆ ชอบครับเพราะในความเก่าก็มีความใหม่ ส่วนซีนตอนท้ายที่เปิดมาเป็นไข่ เหมือนเป็นตัวตนของเรา เปิดมาก็เป็นผมอยู่ในไข่ เป็นกิมมิกครับ”

ส่วนกระแสตอบรับ สไปร์ทบอกว่าถือว่าโอเค มีคนใต้มาคอมเมนต์เยอะว่าหรอยจัดน้องบ่าว แสดงว่าเราทำถึงจริงเพราะคนใต้ฟังแล้วรู้สึกดี เป็นเพลงที่ฉีกออกมา พอคนฟังเยอะและชอบเยอะก็รู้สึกโอเค เราได้ลองทำอย่างอื่นแล้วคนชอบก็ดี ที่ผ่านมาก็เอาเพลงนี้ไปเล่นมาแล้วและมีคนร้องได้ก็ดีใจ สนุกมันจัด ถือว่าแฮปปี้

แต่งวันละเพลง

ถามต่อว่าจะได้เห็นเพลงต่อไปเมื่อไร แร็ปเปอร์หนุ่มน้อยบอกว่า “คิดว่าไม่นานครับ ผมคิดว่าช่วงนี้ผมก็ปล่อยเพลงถี่อยู่แล้ว เพลงต่อไปก็ไม่เกินรอครับ ก็เรื่อยๆ แน่นอนครับ ต้นปีเพิ่งปล่อยเพลง “คิมิโนโตะ” ไป ร้องกับพี่ยังโอม กระแสดีครับ เพลงนั้นถือว่าโอเค เพราะว่าเป็นเพลงที่ผมชอบมาก ผมได้ฟีตกับพี่โอมด้วย พี่โอมเป็นหนึ่งในไอดอลที่ผมอยากมีเพลงด้วย แล้วได้มีเพลงกับพี่เขา ผลตอบรับดีครับ ก็รู้สึกดีครับ”

ส่วนอัลบั้มชุดแรก สไปร์ทบอกว่าที่คิดไว้จะเป็นเพลงใหม่ทั้งหมด ไม่มีเพลงที่เคยได้ยินมาแล้วอยู่ในอัลบั้ม “ที่คุยกันไว้จะทำ 23 เพลง จาก 80 เพลงที่ทำไว้ ตอนนี้อัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมมี 80 เพลงที่พร้อมฟัง พร้อมปล่อยเลย พร้อมถ่ายเอ็มวี จาก 80 เพลงคัดเหลือ 23 เพลง ที่เหลือเราแบ่งไว้ปล่อยเป็นแยกอัลบั้ม 2 อีก ก็ทำตั้งแต่ปีที่แล้ว ตั้งแต่ช่วงเพลง “ทน” มาก็ทำทุกวัน วันละเพลง เหมือนเราตื่นมากินข้าว ตื่นมาคือต้องมี 1 เพลง อัดเสร็จคืนนึง อีกวันก็มาแต่งต่อ บางวันก็ 2 เพลง ศิลปินมีเพลงเก็บเยอะครับ”

เราถามว่าการแต่งแต่ละเพลง ไปเอาเรื่องราวต่างๆ มาแต่งเป็นเพลงจากไหนบ้าง เจ้าตัวบอกว่า “เอาจริงเนื้อหามันเยอะมากครับ ตื่นเช้ามาแล้วเล่นเฟซบุ๊ก เจอคำไหนก็สามารถทำเพลงได้แล้วครับ เหมือนเราทำเป็นชีวิตประจำวัน แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แต่งแล้วครับเพราะต้องทัวร์คอนเสิร์ตด้วย แต่เรามีเพลงเก็บไว้อยู่แล้ว แต่งเผื่อไว้ด้วยครับ พี่เขาบอกว่าถ้าโตมาแล้วเรื่องเครียดมันเยอะ มันจะแต่งยากขึ้น ช่วงนั้นเป็นเด็กก็แต่งไว้เยอะๆ ครับ ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาว่างก็แต่งตลอดครับ สตูดิโอก็อยู่ข้างล่างอยู่แล้ว ตื่นมาก็แต่งเพลงได้เลย เคยมีแต่งวันละ 2-3 เพลงครับ

ถามว่าจะได้เห็นอัลบั้มเมื่อไร เห็นพี่ๆ เขาคุยกันไว้น่าจะเดือน ส.ค. แต่ยังไม่แน่ใจเท่าไรครับ แต่คิดว่าน่าจะเร็วที่สุดครับ ปล่อยในสตรีมมิง ก็ตื่นเต้นครับ เป็นอัลบั้มชุดแรกของผมด้วย อยากให้คนได้ฟังเยอะๆ สไตล์เพลงเหมือนที่ทุกคนชอบเลยครับ แต่ก็มีเซอร์ไพรส์เยอะแยะเลยครับ มีพี่ๆ ศิลปินที่มาฟีตด้วย ซาวนด์ดนตรีที่ใช้ใหม่ ซึ่งพี่ๆ ศิลปินที่มาร่วมงานก็อยู่คนละค่าย แต่อยู่ในแวดวงแร็ปเปอร์เหมือนกัน เป็นศิลปินที่ชื่นชอบมาตลอด ทุกคนก็เห็นว่าเป็นอัลบั้มแรกของน้องด้วยก็เลยช่วยๆ กัน”

แต่งเพลงเยอะขนาดนี้มีเคล็ดลับยังไง แร็ปเปอร์หนุ่มบอกว่า “ผมไม่รู้จะบอกเคล็ดลับยังไง เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ มันมาของมันเอง บอกไม่ถูกเหมือนกัน ฟังดูเหมือนหลอนนะพี่ แต่อยู่ดีๆ มันมีคำอะไรมาบอกเราในหัว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จากพี่ๆ ที่ผมคุยด้วย เขาก็บอกว่ารู้สึกเหมือนผม คืออยู่ๆ มันก็แวบมา ก็มาเลยเป็นเพลง ส่วนเพลงที่ยากในการแต่ง ผมคิดว่าที่ยากสุดน่าจะเป็นเพลง “เก่งแต่เรื่องคนอื่น” ของพี่อิ้งค์ วรันธร ที่ผมไปฟีตด้วย ผมคิดว่าอันนั้นยากสุดแล้ว ด้วยพี่อิ้งค์เขาเฟี้ยวอยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้มันโอเคกับพี่เขา ผมคิดว่าเพลงนั้นน่าจะเป็นเพลงที่ผมคิดมากที่สุด เราก็เลือกรูปแบบที่เข้ากับเขา เข้ากับเพลง ผมว่ายากตรงนั้น”

กำลังใจ

เมื่อให้รีวิวชีวิตตั้งแต่เข้ามาสู่วงการเพลง สไปร์ทนึกอยู่แป๊บหนึ่งและตอบว่า “ผมคิดว่าชีวิตผมเหมือนถูกบันทึกไว้ตลอด ตั้งแต่เด็กผมได้ออกรายการตั้งแต่อายุ 12-13 เหมือนมันมีให้เราดูอยู่ตลอดว่าชีวิตผมเป็นยังไง แล้วผมรู้สึกว่าอะไรก็เป็นไปได้ครับ ผมเป็นแค่เด็กขายข้าวโพดคั่ว แล้ววันนึงผมได้มีโอกาสทำเพลง มีคนฟังเพลงผมเยอะมาก ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ยาก สิ่งที่ผมสามารถเอาไปบอกคนได้คืออย่าไปคิดว่าทำไม่ได้ เพราะมันก็เป็นไปได้ ดูชีวิตผมสิ ก็เป็นในแนวนั้นได้”

ก่อนจะให้กำลังใจกับคนที่ต้องทำงานตั้งแต่เด็ก หรือมีปัญหาในชีวิตว่า “ผมคิดว่าทุกคนมีปัญหาหมดครับ แต่ปัญหาก็มีทางแก้ เหนื่อยก็ต้องพักครับ แต่เราก็ต้องถามใจตัวเองว่ามันเหนื่อยขนาดนั้นเหรอ เหนื่อยที่จะต้องพอแล้วเหรอ ถ้ามันยังไม่ขนาดนั้น เราก็สู้ต่อไปนะครับ เพราะคนที่ลำบากกว่าเรามันมีเยอะ

เนี่ยคำนี้มันอยู่ในหัวผม เพราะพ่อพูดให้ผมฟังมาตลอดว่ามีคนลำบากกว่าเราอีกนะ วันนี้เรากินมาม่า แต่คนอื่นอาจไม่มีตังค์กินมาม่าก็ได้ บางทีพ่อเล่าว่าไปเจอคนใต้สะพานลอยมา เขาไม่มีตังค์กินข้าว เราเอาข้าวไปให้เขามั้ย เรายังมีข้าวอยู่ในตู้เย็น มันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นถ้าเทียบกับคนอื่น”

เราถามว่าที่เราเป็นคนมองโลกในแง่บวกเป็นเพราะพ่อแม่คอยให้พลังบวกตลอดหรือเปล่า สไปร์ทตอบ “ถูกต้องครับ แต่ผมก็ไม่ได้เห็นทุกอย่างเป็นโลกสีชมพู ผมก็เข้าใจว่าอันนี้มันคือดีหรือแย่ ไม่ได้มองว่าทุกอย่างสวยงามไปหมด”

ส่วนกำลังใจหวานๆ แบบปั๊ปปี้เลิฟใสๆ ถามว่ามีมั้ย นักร้องหนุ่มยิ้มก่อนตอบว่า “ก็มีครับ ปกติ มีคุยกันบ้าง ที่บ้านก็บอกว่าให้เลือกคุยดู แต่เขาไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าห้ามไม่ได้หรอกครับเรื่องแบบนี้ ยังไงเราก็คุยอยู่ดี ไม่ว่าช่องทางใดทางหนึ่ง ผมก็ยังโฟกัสงานเหมือนเดิม ไม่ได้มีเรื่องที่ทำให้เสียหายครับ

ถามว่าสเปกเป็นยังไง คิดว่าน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรามากๆ เพราะเราต้องทำงาน อายุก็คิดว่าสำคัญ เพราะเป็นเรื่องจริงอย่างที่ทุกคนพูด เราต้องเรียนรู้กันไปก่อน อายุ 14-15 มีแฟนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็แล้วแต่คนครับ ถามว่าฟิกซ์มั้ยว่าอายุมากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากัน ได้หมดเลยครับพี่ (หัวเราะ) เรื่องหน้าตาผมว่าไม่ได้อะไรขนาดนั้น สุดท้ายเราก็ต้องลองคุยกันดูครับ”

ปิดท้ายสไปร์ทพูดถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงาน บางคนติดตามตั้งแต่เมื่อครั้งประกวดรายการเพลงดัง สไปร์ทบอกว่า “อยากขอบคุณครับ สิ่งสำคัญในระบบของผม ผมคิดว่าแฟนคลับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเป็นคนที่ติดตามเพลงเรา แชร์รูปเรา กดไลค์ ฟังเพลงเรา ผมคิดว่ามันมาจากตรงนี้เยอะมาก รู้สึกดีที่มีแฟนๆ คอยติดตามซัพพอร์ตครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์
กราฟิก : Chonticha Pinijrob