• เส้นทางการทำงานในวงการบันเทิงของ ออฟ จุมพล อดุลกิตติพร
  • คู่จิ้นพาเปลี่ยนชีวิต
  • มีความสุขที่ได้ดูแลครอบครัว และเป็นเสาหลักของบ้าน 

เรียกได้ว่าตอนนี้ชื่อของ ออฟ จุมพล อดุลกิตติพร เป็นที่รู้จักในกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มแฟนคลับอย่างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องความหล่อและบุคลิกของเขา แต่ ออฟ ยังมีฝีมือในเรื่องของการแสดง อีกทั้งยังเป็นนักแสดงอีกคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความกตัญญู และความตั้งใจในการทำงานอย่างมาก 

ล่าสุด บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับ ออฟ จุมพล ถึงตัวตนจริงๆ ซึ่งบอกเลยว่า หน้าจอ ออฟ เป็นยังไง ตัวจริงเป็นอย่างนั้น เพราะเขาเป็นคนที่นอบน้อม และสนุกสนานเฮฮาสุดๆ จึงทำให้เราเข้าใจเลยว่า ทำไม ออฟ จุมพล ถึงมีกลุ่มแฟนๆ ที่รักและเอ็นดูอย่างเหนียวแน่น ซึ่งตลอดการพูดคุยนั้น เขามีเอเนอจี้อยู่ในตัวสูงมาก แม้ว่าวันนั้นจะต้องตื่นมาถ่ายรายการเช้ามากๆ แต่ ออฟ ก็แรงดีไม่มีตกเลยจริง 

เมื่อเราถามถึงเส้นทางการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงของเขา ออฟ บอกว่า เริ่มมาจากการเป็นพิธีกรรายการสด Five Live Fresh ทางช่องแบงแชนแนล ซึ่งตอนนั้นเขาเพิ่งเรียน ปี 4 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 

...

"ตอนแรกเริ่มมาจากการเป็นพิธีกรก่อน พี่เอ็กซ์ ผู้บริหาร GMM TV แล้วเขาไปเจอผมที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนนั้นผมอยู่ปี 4 พอดี เขาถามผมว่าสนใจเป็นพิธีกรมั้ย ผมบอกว่าถ้าพี่คิดว่าผมทำได้ ผมก็ทำได้มั้ง แล้วเขาก็เลยให้ผมไปแคสต์ ผมก็ไปแคสต์ หลังจากนั้นผมก็ได้เข้าไปทำพิธีกร 2 ปี รายการ Five Live Fresh

หลังจากนั้นช่องดาวเทียม ช่องเคเบิลถึงเวลาก็ปิดช่องไป หลังจากนั้น GMM TV ก็เริ่มทำซีรีส์ เริ่มจาก รักจริงปิ๊งเก้อ ก่อน Room alone แล้วหลังจากนั้นก็ได้มาเล่น รุ่นพี่ Secret Love ตอน Puppy Honey ที่ได้มาเล่นกับ กัน อรรถพันธ์ แล้วก็เรื่อง SOTUS The Series พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง

และล่าสุดที่ได้เล่นกับ กัน คือ Theory of Love ทฤษฎีจีบเธอ ปีที่ผมเข้ามาแรกๆ ปี 2013 ประมาณ 7-8 ปีแล้วครับ ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบปี 4 เทอม 2 ได้งานพอดี รู้สึกว่าไม่เครียดเลย จบมามีงานทำ"

"ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปมั้ย เปลี่ยนชีวิตมากๆ ครับ จากคนที่พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดไม่ขยับปาก เราก็ต้องมาเปลี่ยนการพูดให้ได้มากขึ้น เพราะว่าเราจะพูดให้คนอื่นเชื่อ เราต้องพูดให้ชัดก่อน เราไม่เคยเรียนวิธีการพูด แต่พี่เอ็กซ์แนะนำมาว่า เราต้องพูดในชีวิตประจำวันให้ชัด ให้ช้าลง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ทุกวัน

เพราะถ้าเราพูดได้ชัด ได้ช้าลง มันจะพูดได้เอง ตอนเป็นพิธีกรอันดับแรกเลยคือ เรามีงานที่มั่นคง แล้วเราก็มีการฝึกฝนตัวเองทุกวัน เพราะเราต้องทำรายการสด การทำรายการสดคือยากมาก เพราะเราต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า พยายามไม่พูดผิด ถ้าพูดผิดเราต้องแก้ตอนนั้นทันที บางทีมันต้องไหวพริบเหมือนกัน เราต้องฝึกการใช้ไหวพริบ

ส่วนซีรีส์เป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัดเลย การแสดงผมไม่ถนัดเลย แต่ผมต้องพัฒนาตัวเองตลอดเหมือนกัน เพราะว่ากันเล่นเก่งมาก ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง ห่างชั้นกันไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ ทำยังไงก็ได้ให้พัฒนาใกล้เขาให้เร็วที่สุด ตอนแรกเล่นคู่กับจูนจูนครับ ในเรื่อง Room Alone จนกระทั่งมาเล่นกับกัน อรรถพันธ์ แล้วเป็นคู่จิ้นขึ้นมา มีชื่อเสียงจากตรงนี้ขึ้นมา"

"จากคนไม่รู้ ก็กลายเป็นคนรู้จักมากขึ้น จากไปไหนไม่ค่อยมีคนขอถ่ายรูป หรือไม่มีเลยก็มีคนขอถ่ายรูปมากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ดีนะ ผมรู้สึกว่าก็มีคนให้กำลังใจเราเยอะดี มีคนซัพพอร์ตเราตลอดเวลา บางคนจะโหยหาสิ่งนี้ด้วยซ้ำ แต่เราได้มาแล้ว แล้วเราจะรักษาให้ยังไงให้ดีที่สุดมากกว่า

...

แต่บางครั้ง ผมก็รู้สึกว่าเขาเยอะไปก็มี แต่แค่บางครั้งนะ มีแฟนคลับบางกลุ่มที่รุกล้ำชีวิตส่วนตัวเรามากเกินไปก็มี เราไม่สามารถห้ามเขาได้เลย เราไม่รู้จะพูดยังไง เรากลัว บางทีเราพูดอะไรนิดหนึ่ง เรากลายเป็นเราผิดเอง ถ้าสมมติเขาตามไปที่คอนโด ถ้าเราว่าเขา แล้วเขาอัดเราลงโซเชียล เราก็แย่อีก บางทีเราทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องอดทน"

กัน อรรถพันธ์ คือบัดดี้ที่ดีที่สุด

"ถ้าให้พูดถึง กัน เหรอครับ เขาเป็นคนที่ดี ตั้งใจทำงาน มีความรับผิดชอบต่องาน ตรงต่อเวลา ส่วนเรื่องการแสดงไม่ต้องพูดถึงเขาเลย เขาเก่งมากๆ อยู่แล้ว ทำงานกับกันรู้สึกสบายใจ เพราะว่าเขาจะเป็นคนคอยซัพพอร์ตเรา บางทีเราทำอันนี้ไม่มั่นใจ หันไปหาเขาเขาช่วยได้ บางทีเขาไม่มั่นใจ เขาหันมาหาเราเราช่วยได้ มันเหมือนเราไม่ได้ทำงานคนเดียว เรามีพาร์ตเนอร์ตลอดเวลา เราชอบตรงนี้มาก"

"ก่อนที่ผมจะได้มาเล่นซีรีส์แนววาย ก็มีเรียนแอ็กติ้งก่อน ทุกงานที่เราทำ เราพยายามทำให้มันเต็มที่ที่สุด เพราะงานนี้เรารับมาแล้ว เราไม่อยากทำให้คนดูรู้สึกแย่ เราก็ต้องทำให้เต็มที่และตั้งใจที่สุด"

"ตอนที่จะได้มาเล่นซีรีส์วาย คือตอนแรกพี่เอ็กซ์เขาถามก่อนว่าจะเล่นมั้ย ผมไม่เคยเลือกงานอยู่แล้ว ผมเล่นได้ทุกอย่างอยู่แล้ว พอได้เล่นไปแล้ว ทำไมเราต้องมาปฏิเสธ ทำไมเราถึงไม่เล่นเพราะอะไร มันคืองานมันไม่ใช่ชีวิตส่วนตัว งานก็คืองาน ถ้าคุณทำงานแล้วคนเชื่อคุณได้ก็คือเก่ง

แต่ถ้าคุณมาเลือกงานตั้งแต่ตอนแรกๆ โอกาสมันไม่ได้มีบ่อยๆ ถ้ามีโอกาสแล้วเราคว้าไว้เถอะ บางทีโอกาสมันมีครั้งเดียว แล้วถ้าคุณพลาดแล้วอยากมีครั้งที่ 2 มันไม่ได้ มันแล้วแต่จังหวะชีวิตคุณด้วย เราอย่าคิดเยอะครับ คิดซะว่ามันคือตัวเรา มันคือสิ่งที่ทำให้เรามีผลงานให้คนอื่นเห็น"

...

"วันที่เข้าฉากครั้งแรก ก็คือจูบเลย ถ้าผมจำไม่ผิดนะ เราไม่ได้คิดอะไรเลย เราคิดแค่ว่าเราเป็นตัวละครนั้น ต้องทำออกมาให้ดีที่สุด คนต้องเชื่อเราให้ได้มากที่สุด พอเราอินไปกับบทมันไปของมันเอง ผมไม่เขินด้วยกับการทำอะไรแบบนี้ เขาทำเขาต้องการให้มันเป็นยังไง เราต้องทำให้ได้

ถ้าเรามัวแต่เขิน อินเนอร์มันไม่ออกมา ครั้งแรกเรื่อง รุ่นพี่ Secret Love ตอน Puppy Honey เราเป็นคู่รอง ตอนนั้นเป็น กั้ง กับ เชอรีน เป็นคู่หลัก ก็มีชื่อเสียงจากตรงนั้นขึ้นมา จนมาเป็นคู่หลัก

จากนั้นก็เริ่มมีคนรู้จักเราเยอะขึ้น ดีใจครับ รู้สึกว่าคนอื่นเห็นเราเยอะขึ้น เขาคอยสนับสนุนเราอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าเราทำงานแล้วมันไม่เหนื่อย เราทำงานแล้วมีคนดู มีคนชอบ มันคือสิ่งที่ดีมาก

เราเห็นเลยว่าเขาชอบ เขามาหา เห็นเลยว่าสิ่งที่เราทำไปเขาได้รับอะไรบ้าง มีความสุข และจะพยายามรักษาเขาให้ไปนานๆ มีแฟนคลับต่างชาติด้วย ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดฯ ญี่ปุ่น ก็เพิ่งมาเยอะ เพราะเหมือนเขาเริ่มดูซีรีส์จาก GMM มากขึ้นครับ ทฤษฎีจีบเธอ ก็เพิ่งไปฉายที่ญี่ปุ่น"

...

จุดที่ยืนอยู่ตอนนี้คือจุดที่ประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต

"ผมมองว่าจุดที่ยืนตรงนี้ เป็นจุดที่สูงสุดในชีวิตแล้วครับ ผมไม่คิดว่าผมจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะผมไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วกับชีวิต อยากให้มันดีไปเรื่อยๆ มากกว่า ถ้าเราไปคาดหวังแล้วไม่ถึง มันก็เจ็บตัวเองเปล่าๆ ถ้าเราทำดีมากๆ คาดหวังมากๆ มันก็เฟลนะ ผมว่าคนอื่นเฟลเยอะ ถ้าเราทำงานแล้วทำดี ไม่คาดหวังอะไร ผมว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดมากกว่า

ต่อไปก็แล้วแต่ผู้ใหญ่เขาจะจัดการ สมมติคู่วายไม่ได้แล้ว ผมอาจรับบทที่ขึ้นเป็นตัวรอง ผมชอบหมด ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องเป็นพระเอก ผมแค่รู้สึกว่าอยู่ตรงไหนแล้วผมมีความสุขก็พอแล้ว เล่นตัวบ้าบอ คอมเมดี้ก็เยอะครับ เรารู้สึกว่าเราอยากให้ความเป็นตัวเองลงไปในตัวละคร เราชอบความสนุก เสียงหัวเราะ เวลาเล่นแล้วสนุกโคตรมีความสุขเลย"

สุดยอดลูกกตัญญู ตั้งใจเป็นเสาหลักของครอบครัว

"ที่บ้านให้อิสระเต็มที่เลย เขาจะไม่มายุ่งกับงานเรา ผมได้ทำงานเต็มที่ ผมกับแม่จะคุยแต่เรื่องทำนู่นทำนี่กัน ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน เขาจะไม่ยุ่งเรื่องงานเท่าไร เพราะเขารู้ว่าผมตั้งใจทำงานอยู่แล้วครับ

ผมเป็นลูกคนที่ 3 มีพี่สาวห่างจากผม 5 ปี พี่ชายห่างจากผม 4 ปี ผมเป็นลูกคนเล็ก ตอนแรกเขาจะทำหมัน แล้วหมอบอกว่าอย่าเพิ่ง เดี๋ยวมีอีกคนหนึ่ง แม่ก็เชื่อหมอแล้วก็มาจริงๆ แม่รักลูกคนเล็ก ประคบประหงมที่สุดในบ้าน แต่เราเป็นคนที่ดุที่สุดในบ้าน ผมเป็นคนดุมากเวลาอยู่บ้าน

อันนี้ไม่ได้อันนี้ไม่ดี ไม่เอา ชอบจัดการที่บ้าน เพราะว่าเราก็เลี้ยงที่บ้านแล้วตอนนี้ อยากให้เขาเลิกทำงาน พ่อผมปีนี้ก็ 69 ปี แม่ผมก็ 64 ปี เขาเหนื่อยมาเยอะแล้ว ตอนนี้เราไหวเราก็เลี้ยงเขาได้ ไหนจะมีคุณอาอีก ผมเหมือนเป็นคนที่คอยดูแลที่บ้านมากกว่า อยากให้ครอบครัวเรามีความสุข"

เมื่อถามว่า ที่บ้านมีเป็นเอฟซีของ ออฟ มั้ย ออฟ รีบบอกกับเราว่า "ผมว่ามีแหละ แต่เขาจะไม่กล้าพูดกับผม และคุณแม่ชอบไปงานอีเวนต์ต่างๆ แล้วแกบอกว่าบังเอิญมาแถวนี้พอดี ชอบมาเซอร์ไพรส์ผม วันนั้นมีงานที่ไอคอน สยาม ก็เจอแบบบังเอิญ ถามว่าแม่มาได้ยังไง เขาก็อยากแอบมาดู เห็นลูกทำงาน เพราะว่าจริงๆ ผมเป็นคนไม่ค่อยบอกว่าผมทำงานอะไรไปที่ไหน เขาจะติดตามจากเพจแฟนคลับ"

"จริงๆ ที่ผมซื้อคอนโด เราซื้อเวลานอน เพราะคอนโดเราอยู่ใกล้ที่ทำงาน เพราะว่าอยู่บ้านต้องเสียเวลาค่าเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน เราเก็บเวลาไว้นอนดีกว่า สุขภาพเราก็ดีขึ้นด้วย

ส่วนบ้านตอนนี้ซื้อไว้แล้วหลังหนึ่งให้พ่อแม่อยู่ไปก่อน เดี๋ยวอีกสักพักเราจะไปอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ อยากอยู่กับที่บ้าน 10-20 คน เพราะว่าผมเป็นคนจีน ตอนนี้ที่บ้านอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ประมาณ 15 คน และมีหลานอีก 2 คน รวมเป็น 17 คน

คือผมเป็นคนไม่ชอบทำงานบ้าน ถ้ามีเขาอยู่เขาก็ทำให้(หัวเราะ) และสิ่งที่แม่บังคับให้เรากลับบ้าน ก็คือการที่เอาเสื้อผ้ากลับไปซักที่บ้าน เขาจะทำให้เราทุกอาทิตย์"

เมื่อถามว่า คุณพ่อดุมากมั้ย ออฟ บอกว่า "พ่อเป็นคนเงียบๆ ครับ เลี้ยงลูกด้วยลำแข้ง ถ้าลูกทะเลาะกันก็เตะอย่างเดียวไม่พูดอะไร(หัวเราะ) เราก็กลายเป็นคนที่แกร่งขึ้นมา เขาให้เราเรียนรู้เองหมดทุกอย่าง อยู่ที่ว่าจะเลือกแบบไหน แต่เขาก็จะคอยตบๆ เราว่าให้ทำอะไร ตอนนี้ผมสั่งให้เขาเลิกทำงานหมดแล้ว ไม่อยากให้เขาคิดเยอะ ให้เขาใช้เงินดีกว่า เพราะว่าเราก็โตแล้ว 30 แล้ว อยากให้เขาสบาย ไม่อยากให้เขาทำอะไรแล้ว ว่าจะซื้อหมาให้เขาเลี้ยงสักตัว จะได้ไม่เหงา ไม่รู้จะเป็นภาระเขารึเปล่า(หัวเราะ)"

นอกจากนี้ ออฟ ยังได้ฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามกันเสมอมาว่า "ขอบคุณแฟนคลับทุกๆ คนนะครับที่สนับสนุนออฟและกันมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่วันแรกแล้ว ระยะเวลา 5-6 ปีแล้ว ขอบคุณที่ซัพพอร์ตมาเรื่อยๆ คอยให้กำลังใจเรื่อยๆ

เรารู้ว่าถ้าไม่มีเขาเราก็แย่เหมือนกัน ไม่รู้จะทำงานให้ใครดูให้ใครมีความสุข ขอบคุณมากจริงๆ ผมหวังว่าจะได้เจอทุกคนเร็วๆ ไมว่าจะเป็นต่างชาติ หรือในประเทศ อยากให้ทุกคนได้มาเจอกัน เพราะผมก็อยากเจอทุกคนแล้ว"

ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า

กราฟิก : Sriwon Singha

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย