เชน ธนา จากนักร้องบอยแบนด์ที่ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจจับธุรกิจอาหารเสริมจนเป็นแบรนด์ที่ใหญ่โตมีรายได้ต่อปีหลายร้อยล้าน แต่ในช่วงที่ผ่านมาดันเกิดปัญหาดราม่าอาหารเสริม ทำให้ธุรกิจของหนุ่มเชนเจอผลกระทบไม่น้อย ซึ่งดราม่านี้ส่งผลทำให้หนุ่มเชนเกือบจะต้องสูญเสียลูกคนแรกไป ซึ่งหนุ่มเชนเปิดใจกับบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ในระหว่างที่เดินทางมาเยี่ยมสื่อถึงเรื่องนี้ว่า

ปีที่แล้วได้รับผลกระทบเต็มๆ จากดราม่าอาหารเสริม? 

ปีที่แล้ววงการธุรกิจอาหารเสริมมันมีดราม่า เพจก็พาดพิงทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เอกสารเราก็มี แต่วันที่มีลูกมันเลยทำให้เรามีสติ และล้มไม่ได้ ยอมแพ้ไม่ได้ ก็กัดฟันสู้มา ตลอดเวลาที่รู้ว่ามีลูกจนวันนี้มันแสดงให้เห็นว่า สุดท้ายเรารอด เพราะเรามีสติมากพอ

ปี 60 ทั้งปี ยอดขาย 200 กว่าล้าน ปี 62 แค่ครึ่งปีทำได้ 300 ล้าน แต่ปี 61 ทั้งปีเหลือร้อยกว่าล้าน หายไปครึ่งนึง ก็ขาดทุนนิดหน่อย แต่มันเป็นการขาดทุนที่เราหวังสูงว่าจะเข้าตลาดหุ้นก็เลยไปลงทุนพวกโปรแกรมการเงิน พวกบริการสินเชื่อ ลงทุนตรงนั้นเยอะมาก แต่ยอดขายไม่มาตามที่คิด ก็เลยขาดทุนไป แต่เป็นการขาดทุนที่รอดชีวิต คือ ชาวบ้านเจ๊ง แต่เราแค่ขาดทุน 10-20 ล้าน แต่เรามีสะสมมา 40-50 ล้านก็เลยอยู่ได้

ปีที่ผ่านมาธุรกิจกระทบกับชีวิตครอบครัวมากแค่ไหน?
ต้องยอมรับว่ากระทบเพราะจริงๆ ตอนแรกลูกจะหลุดเลย เพราะมันเครียดและกดดัน แล้วตอนนั้นท้องแต่มีเลือดออกเยอะผิดปกติ มีลิ่มเลือดออกมา ก็คิดว่าเค้าไปแล้วแหละ ก็เลยคุยกันว่าเดี๋ยวให้เค้ามาเกิดใหม่แล้วกัน เพราะเราคิดว่าเค้าไม่อยู่แล้ว

ตอนนั้นอายุครรภ์ประมาณเดือนครึ่ง ก็คิดว่าจะต้องเสียลูกไปแล้วแน่ๆ เพราะเรารู้ว่ายังไงแบรนด์ของเราก็ต้องโดนพาดพิงแน่ๆ ทำให้มีผลกระทบแน่ๆ แม้จะทำใจและเตรียมยอมรับแล้ว แต่พอไปพบหมออัลตร้าซาวนด์แล้วหัวใจยังเต้น วินาทีนั้นมันเลยทำให้ผมสู้ไม่ท้อเลย แม้จะติดลบ ยอดจะตก คนจะดราม่าเราว่าเป็นดาราขายอาหารเสริม เราก็จะสู้ เพราะไม่ได้เป็นอย่างที่คนตัดสินเราไง

...

ตอนที่รู้ว่าจะเสียลูกไป กับตอนที่รู้ว่าลูกยังอยู่ ความรู้สึกเป็นอย่างไร?
ตอนเสียไม่ไหล เพราะเราเป็นพ่อ เราต้องปลอบใจภรรยา ถ้าเราร้อง ภรรยาต้องหนักกว่า แต่พอได้ยินเสียงหัวใจน้ำตาไหลเลย พอได้ยินเสียงหัวใจลูก ผมก็ตั้งสติจัดการแถลงข่าวเคลียร์ตัวเองเลยว่าเราไม่ได้ทำผิด

ปีที่ผ่านมาเรียกว่าธุรกิจของเราทุลักทุเลมั้ย?
ก็ประมาณนึงนะ แต่จุดที่เรารอดคือ ลูกค้าประจำ เพราะตอนนั้นเราทำสื่ออะไรไม่ได้เลย เพราะตอนนั้นไม่มีใครยอมขายโฆษณา ทุกคนรอความชัดเจนจากทางราชการว่าจะพูดได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนั้นช่องทางทำมาหากินถูกตัดไปหมด แต่สุดท้ายมีสินค้าตัวนึงที่ขายได้ และได้เงินจากตรงนั้นมาเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงบริษัท

เพราะธุรกิจไม่ค่อยดี เลยต้องหยุดการสร้างบ้านเอาไว้?
ไม่เรียกว่าหยุด แต่เรียกว่าขยายเวลาให้นานขึ้น คือผมมีเงินเก็บ แต่ไม่อยากเอาเงินเก็บไปสร้างบ้านหลังนี้ทั้งหมด ก็เลยไปกู้เงินตกแต่งบ้าน ระยะเวลาการทำมันเลยต้องยืดขยายออกไป งบบานปลายนิดนึง แต่ก็ยังคุมอยู่ เพราะตอนแรกอยู่ที่ 20 ล้านกว่าๆ แต่ไปจบที่ 33 ล้าน

หลายคนมองว่าทำไมบ้านต้องแพงถึง 147 ล้านขนาดนี้?
สารภาพตรงเลย ถ้ามีคนถามผมว่า ถ้าชีวิตนี้ย้อนเวลาไปได้จะไปแก้อะไร สมัยก่อนผมจะตอบอย่างมั่นใจเลยว่าไม่ย้อน ไม่แก้ ผมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว จะผิดอะไรก็เป็นบทเรียน แต่ถ้าวันนี้ถามผมจะย้อนเวลาไปซื้อบ้านให้ถูกกว่านี้ (หัวเราะ) ณ วันนั้นผมมั่นใจว่าทำได้


ผมมองว่ามันเป็นรางวัลชีวิตอายุ 30 แต่ซื้อบ้านหลังละ 100 ล้านได้ อย่ามองว่าเป็นเรื่องเว่อร์ แต่อยากให้มองว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ อยากให้ชื่นชม อยากให้กำลังใจมากกว่าว่าทำได้ อยากให้มาถามว่าทำยังไง แต่วันนั้นโลกสวยไง แต่พอเจอวิกฤติ ถ้าย้อนได้ก็อยากจะลดราคาลง เอาสัก 50-60 ล้านก็พอตามกำลัง

...

แต่ในร้ายก็มีดี ถ้าไม่มีบ้านหลังนี้ผมก็คงใช้เงินฟุ่มเฟือย ไปเที่ยวเมืองนอก ซื้อรถสปอร์ตหลายคัน ซื้อนาฬิกา อาจจะไม่มีเงินเก็บ แต่พอมีบ้านหลังนี้ ก็เลยทำให้ต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ ทำให้พัฒนาบริษัทจนมั่นคง แล้วรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ ถ้าก่อนวิกฤติไม่ได้ซื้อบ้านหลังนี้ ผมอาจจะเจ๊งไปกับแบรนด์อื่นๆ แล้ว กลายเป็นว่าบ้านหลังนี้ที่แพงแต่ทำให้ผ่านวิกฤตินี้มาได้ ผ่อนได้ บ้าน 147 ล้าน ตกแต่งอีก 33 ล้าน

มันเป็นเงินที่เยอะมากเลยครับ และผมก็ยอมรับเลยว่าผมผิดพลาดในชีวิตนะที่เลือก แต่ก็ไม่คิดที่จะหยุดเพราะยังไหว แล้วท้ายที่สุดก็ทำได้ ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อย เสียพลังชีวิต เสียโอกาสที่จะพาภรรยาไปเที่ยว ผมเสียไปหลายอย่าง พ่อแม่ก็ไม่ได้กลับไปหาบ่อยๆ มันก็มีมุมที่สวยงามและน่ากลัว เหมือนภูเขา ข้างบนสวยงามแต่ข้างล่างมีอะไรอีกเยอะแยะ

แต่พอมีลูกก็ซอฟต์ลง เมื่อก่อนใจร้อน บ้าพลัง ก็เริ่มปรับตัวให้นิ่งขึ้น ระวังตัวมากขึ้น ในเรื่องการเงินผมก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือย แต่มีแค่บ้านหลังนี้แหละที่แก้ไขไม่ทันแล้ว แต่ก็จะทำให้มันสำเร็จแล้วกัน สิ้นปีนี้ก็จะได้เข้าอยู่แล้ว ส่วนเงินเก็บให้ลูกก็ไม่ได้มีเยอะเป็น 10-20 ล้าน เป็นเงินหมุนดูปีต่อปี

...