เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกันดีกับนิตยสาร “คู่สร้างคู่สม” ที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 38 ปี เป็นนิตยสารที่เล่าเรื่องราวของชีวิตคน ที่มีนักเขียนจากทั่วทุกมุมโลกส่งเรื่องราวของตนเองเข้ามา แต่ล่าสุดผู้ก่อตั้งนิตยสารเล่มนี้ ดำรง พุฒตาล ได้ประกาศปิดตัวอย่างเป็นทางการ เนื่องมาจากสู้โลกออนไลน์ไม่ไหว อีกทั้งถ้าอยู่ต่อไปอาจทำให้ตัวหนังสือนั้นขาดทุนก็เป็นได้
โดย ดำรง ได้บอกว่าในช่วงระยะหลัง 3 ปีมานี้ ตัวของคู่สร้างคู่สมเริ่มขาดทุน เลยทำให้ตัดสินใจปิดตัวลงก่อนที่จะเจ็บหนักไปมากกว่านี้ ซึ่งล่าสุด ดำรง พุฒตาล ผู้ก่อตั้งนิตยสารคู่สร้างคู่สม ได้มาเปิดใจในรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง one31
ที่มาของนิตยสารคู่สร้างคู่สม? “มาจากรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2519 ที่ชื่อคู่สร้างคู่สมเพราะคู่ที่มาออกรายการโทรทัศน์ต้องเป็นคู่รัก แต่ละคู่ที่จะมาออกต้องเขียนจดหมายมา เดือนนึงออก 1 ครั้ง ครั้งละ 4 คน แต่มีจดหมายส่งมามาก ทั้งๆ ที่รางวัลก็แค่ตู้เย็น ต้องพูดว่าเป็นรายการที่สนุกที่สุด ฮอตที่สุดเพราะเป็นรายการทอล์คโชว์รายการแรกๆ ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์
ที่เอาประชาชนมาออกรายการ เพราะในสมัยนั้นดาราไม่เปิดตัวสามีหรือภรรยา คู่แรกที่เอามาออกรายการแล้วประสบความสำเร็จก็คือคุณสมบัติ เมทะนี กับภรรยา แต่ตัวผมชอบคุยกับชาวบ้าน เพราะความบริสุทธิ์ของชาวบ้านไม่มีลับลมคมในในชีวิตคู่ แล้วเป็นรายการที่ถามปัญหาง่ายๆ สมัยนั้นคนชอบมาก จนกลายเป็นหนังสือ เพราะว่ามีข้อมูลของผู้ชมส่งเข้ามาเป็นกระสอบๆ”
...
คอนเซ็ปต์ของคู่สร้างคู่สมเกี่ยวกับเรื่องความรัก? “ในชั้นแรก ส่วนฟรอนท์ที่เป็นเอกลักษณ์นั้น มีมาตั้งแต่แรกเริ่มทำเล่มแรกเลยครับ จนถึงเล่มสุดท้าย เล่มแรกคือ 1 ม.ค. 2523 จนเล่มสุดท้ายคือฉบับที่ 1,005 เล่มแรก 8 บาทแล้วขึ้นมาเป็น 12, 20 แล้วก็เล่มปัจจุบัน 30 บาท คนที่ขึ้นปกแรกเลยคือคุณทาริกา ธิดาทิตย์”
เคยมีเล่มไหนที่หน้าปกไม่ได้เป็นคนคู่กันมั้ย? “มีครับ ฉบับสุดท้ายคือหน้าปกผมเอง ส่วนคอนเซ็ปต์ที่จะขึ้นปกได้ก็คือต้องแต่งตัวเรียบร้อย จะไม่มีโป๊ไม่มีนุ่งขาสั้น การเลือกหน้าปกของเราก็คือเลือกจากละครที่กำลังดัง แล้วเจ้าของผู้ผลิตละครก็จะยินดี เพราะเหมือนละครของเค้าได้เผยแพร่ไปทั่ว”
ทำไมเล่มสุดท้ายต้องเป็นภาพคุณดำรง? “เนื่องจากที่ทำหนังสือเพราะอยากลงรูปตัวเอง”
เคยคิดมั้ยว่า หนังสือที่เราสร้างมากับมือจะต้องมาปิดตัวลง? “ไม่เคยคิดนะครับ กับเคยคิดว่าถ้าเราตายลงไปใครจะรับช่วงต่อ คือตลอดชีวิตผม ผมทำงานหนักมาก ทำงานจริงจัง ทั้งโทรทัศน์และบริษัททัวร์ ทีนี้การทำหนังสือมันต้องทุ่มเทอย่างมาก ทั้งกินนอน ก็ต้องนึกถึงแต่หนังสืออย่างเดียว พอถึงจุดหนึ่งเมื่ออายุ 70 ก็คิดว่าปีนี้จะเลิกแล้ว ก็ตั้งใจจะเลิก
คนใกล้ชิดก็เห็นด้วย แล้วมาติดขัดว่าแล้วลูกน้องเราล่ะ ที่มีทั้งหมด 10 กว่าคน ซึ่งเรามีเท่านี้จริงๆ เราบอกได้เลยว่าสิ่งที่คู่สร้างคู่สมดังเพราะเรามีนักเขียนอยู่ทั่วประเทศไทยและทั่วโลก ใครเขียนเรื่องมาก็ได้ เพราะเข้าทางคู่สร้างคู่สม ทุกฉบับที่ส่งมาเราอ่านหมด ผมมีความพิเศษว่า คนอ่านรู้จักเรา เป็นแฟนเรามาก่อนจากรายการโทรทัศน์ เค้าอยู่ทุกทั่วประเทศทั่วโลก เค้ามีอะไรก็อยากเล่าให้เราฟัง”
ยอดขายเริ่มตกมาตั้งแต่เมื่อไหร่? “มันเริ่มตกมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้วครับ มันลงไม่ฮวบฮาบ มันลงมาตลอด ค่อยๆ ลง เนื่องจากมนุษย์ในโลกนี้ ณ ปัจจุบันนี้ไม่อ่านหนังสือที่พิมพ์ในกระดาษ แต่ไปอ่านหนังสือที่พิมพ์อยู่ในออนไลน์”
เห็นบอกว่าที่เสียใจมากที่สุด ก็คือคอลัมน์ดูดวงที่แม่นที่สุดในประเทศไทย ถูกก๊อปปี้ไปลงออนไลน์? “ใช่ครับ คนที่ติดคอลัมน์นี้ก็รอดูว่าดวงจะเป็นยังไง คนขายก็เล่าให้ฟังว่า ทำไมหนังสือถือมีหนีบไว้ หรือเอาถุงใส่ เพราะคนไปยืนอ่านแล้วก็ไป พอมันก๊อปลงโซเชียลเราก็ทำอะไรไม่ได้ครับ แล้วจะขอบคุณเราสักคำก็ไม่มีเลยครับ”
ต่อจากนี้คนที่ติดคอลัมน์นี้ เค้าจะไปหาอ่านเรื่องดวงได้จากที่ไหน? “ผมตอบไม่ได้เพราะอาจารย์อัมพรที่เป็นคนดูดวงเค้าจะเขียนให้มั้ย แล้วอีกอย่างเค้าเป็นเพื่อนรักที่เรียนหนังสือมาด้วยกันกับผม แล้วก็ 30 กว่าปีที่เค้าทำมากับผม ก็ทำกันมาอย่างสนุกสนาน แล้วเค้าจะไปอยู่คนอื่นมั้ยก็ไม่รู้ แต่ผมสนับสนุนให้เค้าไป ตอนนี้ก็เลยตอบไม่ได้”
เป็นแชมป์มาทั้งหมดกี่ปี? “38 ปีครับ”
นิตยสารคู่สร้างคู่สมขายดีมาเป็นอันดับหนึ่ง แล้วทำไมถึงปิดตัวลง? “คือผมเหนื่อย อยากตื่นมาแล้วใช้ชีวิตแบบคนอื่นเค้า”
...
หรือเราจะรักษาศักดิ์ศรีตัวเองด้วยรึเปล่า? “ผมว่าไม่ใช่ว่าจะหยุดเอาก็ต่อเมื่อขาดทุนแล้ว ก็รู้สึกเสียหน้า ขณะนี้เรายังไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย นอกจากกำไรน้อยลงแล้วก็ทำงานหนักขึ้น”
ทำไมไม่ให้ลูกทำ? “ถ้าไม่ใช่ ดำรง พุฒตาล ไม่มีใครทำได้ เพราะมันมาจากประสบการณ์”
ยืนยันว่า ที่ตัดสินใจปิดตัวหนังสือ เพราะเราไม่ได้ขาดทุน? “ไม่ขาดทุนครับ”
ทำไมถึงไม่ไปอยู่ในโลกออนไลน์ ทั้งๆที่คอนเทนต์มันดีมาก? “ถ้าอยู่ในโลกออนไลน์ ไอ้ดำรงก็ต้องทำงานอีก ก็ต้องเหนื่อยอีก และที่ผมทำหนังสือเล่มนี้ ผมทำด้วยใจรัก ผมรักการอ่าน ชอบอ่านหนังสือ พอมีข้อมูลจากรายการทีวี มันก็นึกอยากทำหนังสือ ถ้าทำออนไลน์มันเป็นเชิงธุรกิจแล้ว มีส่วนได้ส่วนเสียเท่าไหร่
พอมันเป็นหนังสือคู่สร้างคู่สม เล่มแรกเราไม่ได้ลงทุนแม้แต่บาทเดียว เราลงทุนสมองกับต้นฉบับ แล้วเราก็ไปหาโรงพิมพ์ที่ไว้ใจได้ เค้าก็พิมพ์ให้เราก่อนเลย ไม่ต้องไปหาค่าพิมพ์ เล่มแรกพิมพ์ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกพิมพ์ 35,000 ครั้งที่ 2 พิมพ์ 35,000 และครั้งที่ 3 พิมพ์ 30,000 ทั้งหมดแสนเล่ม ซึ่งไม่มีนิตยสารใดพิมพ์เยอะเท่านี้มาก่อนเลย
ไม่ใช่ว่าผมงอนนะ แต่ว่าบทความดีๆ ถูกก๊อปปี้ไปลงออนไลน์หมดเลย แล้วไม่ได้ให้เครดิตเรา ผมเป็นคนที่โง่ในระบบออนไลน์ ผมก็เลยหยุดทำ”
มีคนเม้าท์ว่า ที่หยุดเพราะเรามีเงินมากกว่าร้อยล้าน ก็เลยหยุดทำ? “ถ้ารู้จะพูดอย่างนี้ไม่มารายการนี้หรอก ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาแทบตายตั้ง 50 ปี มีเงินแค่ 100 ล้านเหรอ (ยิ้ม)”
...
มีคนบอกว่า ปิดตัวก็ดีแล้ว เพราะเนื้อหาในคู่สร้างคู่สมช่วงหลังไม่ค่อยดีเลย? “เสียแค่ 30 บาทนี่นะ คุณจะเอาอะไร ผมเสียค่าเครื่องบินไปสัมภาษณ์หม่อมชลิตาที่อาร์เจนตินา ค่าเครื่องบินชั้นพิเศษ 3 คนก็เกือบล้านแล้ว ไปอยู่นั่นเดือนนึง ลงอยู่ 13-14 ตอน คุณจะเอาอะไร 30 บาท เพราะหนังสือทั่วไปก็เป็นร้อยแล้ว”
พนักงาน 10 กว่าคนทำยังไง? “พนักงานบางส่วนก็ได้งานใหม่แล้ว”
วิเคราะห์ผู้อ่านในช่วงระยะหลัง? “คนไทยในปัจจุบันอ่านหนังสือมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ว่าไปอ่านในอินเทอร์เน็ต ไปอ่านในโทรศัพท์มือถือ เพราะมีรูปภาพ โต้ตอบได้ แต่ถ้าส่งมาให้คู่สร้างคู่สม ดำรงจะเอาลงรึเปล่า หรือกว่าจะเอาลงก็อีกสองเดือน แต่เนี่ยเขียนลงออนไลน์ แล้วกดโพสต์ลง คนก็ได้อ่านกันเยอะแล้ว
เพราะฉะนั้นเป็นคำพูดที่ผิดนะครับ ที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยลง แต่เค้าอ่านหนังสือเยอะขึ้น แต่เค้าไม่ได้อ่านหนังสือที่เป็นเล่มๆ และก็บอกได้เลยว่าอนาคตนิตยสารที่มีทั้งโลกนี้ ก็อาจจะอยู่ไม่ได้ เพราะอย่างนิตยสารชื่อดังที่อยู่มาเป็นร้อยๆ ปีก็ปิดตัวลง”
เพราะเหตุนี้เลยแนะว่า ถ้ามีลูกห้ามให้เรียนนิเทศศาสตร์? “ผมไม่ได้พูดคำนี้นะครับ แต่ผมพูดว่าเดี๋ยวนี้คนที่จะทำหนังสือไม่จำเป็นต้องเรียนนิเทศศาสตร์ และผมก็บอกลูกว่า ถ้าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ไม่ต้องเสียใจเลย
เพราะเดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ระบบการศึกษามันก็เปลี่ยนไปหมด คนที่ไม่ได้เรียนนิเทศศาสตร์มาบางคน แค่เค้ามีโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวเค้าก็ทำรายการออกมาได้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นนิเทศศาสตร์ต้องเปลี่ยนหลักสูตร ต้องออกไปลุยงานนอกห้องเรียนมากกว่าเรียนทฤษฎี”
ฝากถึงแฟนคลับคู่สร้างคู่สม? “ก็กราบเรียนแฟนคลับว่า โลกนี้มันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ระบบดิจิตอลมันเข้ามาป่วนโลก วิถีชีวิตมันเปลี่ยนไปหมดเลย ที่อยากจะเตือนก็คือโลกใหม่มันปรับตัว เราต้องอยู่กับมันให้ได้”.
...