ความรู้สึกแรกหลังดู “Love in the City” #เธอเหงาเราเผลอ คือแฮปปี้ แม้ว่าชื่อไทยจะทำให้เราเดาเนื้อเรื่องคลาดเคลื่อนไปหน่อย เพราะมันดันไม่ใช่รอมคอมหวานแหววสายเกา แต่เป็นรอมคอมชิคๆ ฉบับเพื่อนสนิทที่มีมุมมองแทบทุกเรื่องต่างกันแบบสุดขั้ว แต่กลับเข้ากันได้ดีจนน่าอิจฉา
Love in the City เป็นเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ของหนึ่งสาวซ่า แจฮี (คิมโกอึน) กับหนุ่มอินโทรเวิร์ต ฮึงซู (โนซังฮยอน) ที่พัฒนาจากคนเหม็นขี้หน้า สู่เพื่อนรักเพื่อนยากที่เข้ากันได้ดีในแทบทุกมิติ ท่ามกลางฉากหลังของเมืองอันวุ่นวายอย่างอิแทวอน ซึ่งไปกันได้กับชื่อและธีมหลักที่ว่าด้วยเรื่องของความหลากหลาย ทั้งวัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม เพศสภาพ สถานะทางสังคม และตัวตนที่หลากหลาย
เราว่าหนังมีความเรียบง่าย แต่มีสารที่พิเศษ โดยเฉพาะเรื่อง ความสัมพันธ์ การเติบโต และการเรียนรู้จากความผิดพลาด ส่วนตัวคิดว่าเป็นหนัง Coming of Age แบบชิคๆ ที่ร่วมสมัย กล้าที่จะตีแผ่ประเด็นสังคมที่บางคนอาจจะยังรับไม่ได้ อึดอัด หรือทำตัวไม่ถูก
...
ความพิเศษแรกคือ หนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนที่แตกต่าง ตกขอบ(ของสังคม) อย่าง แจฮี กับ ฮึงซู ได้อย่างน่าสนใจ คนนึงก็เฮี้ยวและเปรี้ยวเกินต้าน ส่วนอีกคนก็เก็บตัว แทบไม่ยอมให้ใครเข้าถึง แต่ก็น่าแปลกที่ทั้งสองกลับดึงดูดเข้าหากันจนกลายเป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้ในที่สุด
ส่วนตัวเราชอบดีเทลการอธิบายความสัมพันธ์ของแจฮีและฮึงซูมาก หลายๆ เหตุการณ์ในเรื่องเป็นธรรมชาติและเหมือนจริงจนน่าตกใจ โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ที่ค่อนข้างสะบักสะบอม และแม้ว่ามันจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่ถูกดีไซน์ให้แปลกใหม่ แต่เป็นสถานการณ์ง่ายๆ ที่เชื่อว่าใครหลายคนก็น่าจะเคยเจอ แต่กลับเข้าถึงง่าย และทำให้เรารู้จักตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง
ดีเทลนึงที่น่าสนใจคือ แม้ว่าทั้งคู่จะมีบุคลิกภาพที่เข้ากับคนทั่วไปยาก แต่ทั้งคู่กลับไม่เคยด้อยค่ากันและกัน มีประโยคนึงของ แจฮี ที่ยังติดในหัว “การเป็นตัวเอง มันจะเรียกว่าจุดอ่อนได้ยังไง” ซึ่งแม้ว่าฟังแวบแรกจะเหมือนกับการปลอบใจกันเอง แต่เมื่อคิดถึงซ้ำๆ ประโยคนี้กลับ inspired และทำให้ใจฟู เพราะมันหมายถึงการที่ทั้งคู่ยอมรับในตัวตนของกันและกัน พร้อมจะสนับสนุนกันเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่อมั่นและมีความสุข ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความสัมพันธ์ในแบบที่เฮลตี้มากๆ
อีกความพิเศษคือ สองนักแสดงนำ คิมโกอึน (Exhuma 2024, Little Women 2022) ผู้รับบท แจฮี หญิงสาวหัวขบถ ผู้มีจิตวิญญาณเป็นอิสระ มีความมั่นใจเต็มร้อย และเต็มที่กับความรักเสมอ กับ โนซังฮยอน (Pachinko 2022) ผู้รับบท ฮึงซู หนุ่มอินโทรเวิร์ต ผู้เงียบขรึมแต่อ่อนไหว และมีระยะห่างกับทุกคน โดยทั้งคู่ตีความบทที่ตัวเองได้รับออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ทำให้เราอดตกหลุมรัก และเอาใจช่วยคนตกขอบทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้
...
เคมีระหว่างทั้งคู่ ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ทั้งเคมีทางการแสดง คิมโกอึน และ โนซังฮยอน ก็ทำได้ดี ทำให้เราเชื่อสนิทว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายที่รักและเข้าใจกันและกันอย่างน่าทึ่ง ส่วนเคมีระหว่างตัวละครที่มีความต่างกันอย่างสุดขั้วอย่าง แจฮี และ ฮึงซู ก็ถูกดีไซน์มาอย่างดี เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ทำให้ตัวละครมีเสน่ห์ แม้ว่าบางเรื่องบางราวจะห่ามๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คะแนนความชอบของเราตกลง ออกจะเห็นใจและสะใจบางซีนด้วยซ้ำที่ทั้งคู่ได้เอาคืนบ้าง
ความพิเศษสุดท้ายที่สำหรับเราคือ หนังเล่าเรื่องการเติบโตได้ดีมากๆ เรื่องราวของ แจฮี และ ฮึงซู เริ่มต้นตั้งแต่วัยรุ่น ผ่านความบ้าระห่ำ ความหุนหันพลันแล่น ทั้งจากฮอร์โมนอันพลุ่งพล่าน และอาจเป็นไปตามกระแสที่อยากเอาชนะและควบคุมทุกสิ่ง จนถึงวันที่ทั้งคู่เติบโต ผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งดีและร้าย ที่ช่วยขัดเกลา และหล่อหลอมให้แต่ละคนมองเห็นตัวตนที่ชัดเจนมากขึ้น
หนังเล่าเรื่องการเติบโตของ แจฮี และ ฮึงซู ผ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ที่ต้องเฟ้นหา ปรับจูนเพื่อให้เจอความรักดีๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็น แจฮี ที่ต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองอย่างหนักเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ทั้งจากสังคมและคนรัก หรือ ฮึงซู ที่ต้องก้าวข้ามกฎเหล็กของตัวเอง เปิดเปลือยตัวตนแท้จริง เพื่ออิสระในการใช้ชีวิต
...
นอกจากนี้ หนังยังให้น้ำหนักกับประเด็นของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ผ่านความยากลำบากในการใช้ชีวิตของ ฮึงซู ที่ต้องเก็บกดทุกความต้องการ และรักษาระยะห่างกับทุกคนเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง ซึ่งส่วนตัวเราชอบมาก เพราะมันดูเหมือนจะต้องเป็นเรื่องดราม่าที่หนังสะท้อนประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่มู้ดโดยรวมกลับไม่ได้ negative ขนาดนั้น แน่นอนว่ามันทำให้เราเศร้ากับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ แต่มันก็ยังเปิดช่องให้เห็นโอกาสที่จะดีลกับความยากลำบากนี้
เอาเป็นว่าโดยรวม #LoveintheBigCity เป็นหนังที่ดีและดูสนุก เป็นหนัง Coming of Age แบบชิคๆ ที่ดูได้อย่างเพลินๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหนักหัวหรือว่าหนักใจ ทั้งเพราะประเด็นสังคมที่ร่วมสมัย เข้าถึงง่าย ทำให้ใจฟู และน่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีสำหรับหลายคนที่คิดว่าความต่างระหว่างกันเป็นปัญหา เราว่าหนังน่าจะช่วยให้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้น หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะทำให้เราฉุกใจและเข้าใจคนรอบๆ ตัวมากขึ้นบ้าง
จนกว่าจะพบกันใหม่