ไม่ใช่แค่คนมีความสุข หรือมีความทุกข์
ที่จะส่งต่อพลังหรือส่งอิทธิพลถึงกันได้
แต่ ความบ้าคลั่ง ก็ส่งต่อได้เหมือนกัน
น่าจะเป็นความคิดแรกหลังดูภาคต่อของ Joker ซึ่งมีชื่อประจำภาคว่า Folie À Deux หมายถึง อาการวิกลจริตร่วม หรืออธิบายให้ง่ายกว่านั้น คือ คำอธิบายสภาวะของบุคคลสองคนที่มีอาการหลงผิดร่วมกัน
แน่นอนว่าคนสองคนที่ว่า คงหนีไม่พ้น อาเธอร์ เฟล็ค หรือ โจ๊กเกอร์ (วาคิน ฟีนิกซ์) กับ ลี ควินเซล หรือ ฮาร์ลีย์ ควินน์ (เลดี้ กาก้า) ที่ไม่ใช่แค่คลั่งรักกันอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ยังซุกซ่อนความบ้าคลั่งไว้ด้วย โดยเฉพาะ อาเธอร์ ที่ภาคนี้เราจะได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้น ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามันลึกซึ้งมาก อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เราเข้าใจเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ คนบ้า ที่คลั่งฆ่าคนเพียงเพราะประสาทหลอน หรือมีใครพูดไม่เข้าหู
Joker: Folie À Deux หรือชื่อภาษาไทยว่า โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ ภาคต่อจาก Joker ในปี 2019 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ กวาดรายได้กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน Box Office ทั่วโลก และครองอันดับสูงสุดในภาพยนตร์เรท R ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลจนถึงตอนนี้ แถมทำให้นักแสดงนำ วาคิน ฟีนิกซ์ (Her, Gladiator) คว้ารางวัลออสการ์ได้เป็นครั้งแรกด้วย
...
สำหรับภาคต่อนี้ เป็นเรื่องราวต่อจากภาคแรก หลังอาเธอร์ถูกส่งตัวไปขังที่ อาร์คัม (Arkham) เพื่อบำบัดอาการทางจิต และรอขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีข้อหาก่ออาชญากรรมของเขาในฐานะโจ๊กเกอร์ และที่ อาร์คัม นี่เอง ที่แม้เขาจะถูกตัดขาดทุกอย่าง แต่อาเธอร์ก็ค้นพบดนตรีในหัวใจ รวมทั้งค้นพบ ลี หญิงสาวที่ทำให้หัวใจแห้งผากของเขาชุ่มฉ่ำอีกครั้ง
ครึ่งเรื่องแรกของภาคต่อนี้ เราจะได้เห็น อาเธอร์ เฟล็ค ในแบบที่คล้ายๆ กับในภาคแรก ช่วงที่เขายังมีแม่ มีนักสังคมสงเคราะห์ และมียาที่ช่วยควบคุมอาการ แถมดูจะหงอยกว่าเดิม เพราะเขาแทบไม่มีใครในอาร์คัม และเหมือนจะกลายเป็น “โจ๊กเกอร์” ของใครต่อใครในนั้นด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้เจอ ลี หญิงสาวปริศนาที่ทำให้ตัวตนที่แตกสลายของเขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง
การปรากฏตัวของลี ทำให้โลกของอาเธอร์ ทั้งปั่นป่วนและบ้าคลั่ง แน่นอนว่าถ้าใครจำภาคแรกได้ ที่เขาเคยหลงคิดว่าตัวเองมีความรักกับหญิงสาว แม่หม้ายลูกติด เพื่อนบ้านร่วมอพาทเมนต์เดียวกับเขาและแม่ แต่ก็ต้องหัวใจสลายเมื่อค้นพบว่าทุกอย่างเป็นแค่จินตนาการเพ้อเจ้อของเขาเอง แต่ครั้งนี้ ลีทำให้ทุกอย่างเป็นจริง และนั่นทำให้อาเธอร์ถึงกับคลั่งไปเลย
แน่นอนว่าชื่อของภาคนี้ Folie À Deux ก็มาจากเรื่องราวความรักระหว่าง อาเธอร์ และ ลี นี่แหละเพราะลีคือคนที่ปลุกความเป็นโจ๊กเกอร์ในตัวอาเธอร์ขึ้นใหม่ และเมื่อคนคลั่งสองคนมาเจอกัน ก็ดึงดูดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พร้อมก่อวีรกรรมสุดเพี้ยนหลายอย่าง ทั้งจากจินตนาการของทั้งคู่ และเรื่องจริงที่ทำให้คนรอบตัวพากันตกตะลึงไปตามๆ กัน
แต่ถึงจะคลั่งเพราะรัก มันก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ อาเธอร์ เริ่มมีชีวิตชีวา ตัวตนหงอยๆ ถูกแทนที่ด้วยพลังชีวิตที่สดใสกว่าเดิม โดยมี ดนตรี ที่เขาก็เพิ่งค้นพบว่ามีมันอยู่ในหัวตลอด ช่วยให้เขาเริ่มคิดที่จะมีชีวิตต่อ รวมถึงต่อสู้คดีเพื่อออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง
...
ในขณะที่ดนตรีและความรักของอาเธอร์เบ่งบาน ตัวตนที่เป็น “โจ๊กเกอร์” ของเขาก็มีโอกาสได้เผยโฉมอีกครั้งในศาลเมื่อเขาขึ้นสู้คดี และเป็นทนายให้ตัวเอง ส่วนตัวคิดว่าเป็นฉากที่น่าสนใจมาก เพราะทำให้เราได้มองอาเธอร์ในอีกมุม พร้อมตั้งคำถามถึงความเป็นโจ๊กเกอร์ในตัวเขาที่ถูกตีตราว่าบ้าคลั่ง ว่าที่จริงแล้วมีแค่อาเธอร์คนเดียวที่มีโจ๊กเกอร์ หรือเป็นเราทุกคนกันแน่ที่มีโจ๊กเกอร์อยู่ในตัว
ส่วนตัวคิดว่าหนังดูยากกว่าภาคแรกพอสมควร และที่สำคัญคิดว่าคนดูน่าจะต้องเคยดูภาคแรกมาก่อน เพื่อจะได้มีความคิดและอารมณ์ที่ต่อเนื่องเมื่อดูภาคนี้ โดยเฉพาะเรื่องพัฒนาการของตัวละครหลักอย่าง อาเธอร์ เฟล็ค ที่เราจะได้ค้นพบตัวตนของเขาในมุมที่แตกต่าง และลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ในภาคแรก อาเธอร์ถูกกระทำอย่างหนักหน่วง ทั้งที่ไม่เป็นธรรม และเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ความบีบคั้นและความกดดันรอบตัว ผลักให้เขาทำเรื่องรุนแรงหลายอย่าง กระทั่งก่อกำเนิดเป็น โจ๊กเกอร์ ตัวตนซึ่งเปรียบเสมือนหน้ากากที่เขาเลือกเอาออกมาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งแม้ว่าเราจะเข้าใจแรงผลัก จนถึงขั้นเกลียดเขาไม่ลง แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาไม่ผิด และเขาไม่ใช่ตัวร้าย
...
ในภาคต่อนี้ อาเธอร์ก็ถูกกระทำเหมือนเดิม แม้จะไม่สาหัสทางร่างกายเหมือนภาคแรก แต่ก็บอบช้ำทางใจหนักหนา ทั้งเพราะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และแทบไม่มีเพื่อนในคุก แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของเขาไม่ได้ ซึ่งในภาคนี้ เราก็จะได้รู้จักเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งมากขึ้น ว่าเขาก็มีความรักได้ โกรธได้ คลั่งได้ และก็เสียใจจนใจสลายได้ด้วย
รวมๆ คิดว่า Joker: Folie À Deux เป็นหนังที่หนักหน่วงพอควร แม้ว่าจะนำแสดงด้วยนักแสดงระดับเอลิสต์ อย่าง วาคิน ฟีนิกซ์ และ เลดี้ กาก้า พร้อมโปรดักชั่นมิวสิคัลแบบอลังการ ที่มีส่วนช่วยเล่าเรื่องและถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งเพลงและสารหลายๆ อย่างค่อนข้างทำความเข้าใจยาก ทั้งเพราะมันเป็นเรื่องจินตนาการสุดพันลึกของตัวละครคลั่งๆ อย่างโจ๊กเกอร์ และ ฮาร์ลีย์ ควินน์ และเรื่องของจิตใจมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึงในหลายๆ มุม
แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็ดูสนุกดีถ้าเราลองดำดิ่งไปกับมัน(และเตรียมดูภาคแรกมาแล้ว) พร้อมทบทวนความคิดของตัวเองไปด้วยว่าที่จริงแล้ว ตัวเราเองมี “โจ๊กเกอร์” ซ่อนอยู่หรือเปล่า?
...
จนกว่าจะพบกันใหม่