“ห้ามปล่อยเชือกจากกันเด็ดขาด” กฎเหล็กที่ตัวละครใน Never Let Go ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หาไม่ พวกเขาอาจถูก ปีศาจ ที่อยู่นอกบ้านกลืนกิน!

แค่คิดหรือจินตนาการตามก็อึดอัดจะแย่ นับประสาอะไรกับสองเด็กชายอย่าง ซามูเอล (แอนโธนี บี. เจนกินส์) และ โนแลน (เพอร์ซี แดกกส์ ที่ 4) ลูกชายฝาแฝดของ จูน (ฮัลลี เบอร์รี) จะไม่รู้สึกอะไรกับการถูกบังคับให้ทำตามกฎเหล็กของบ้านตลอดเวลาตั้งแต่จำความได้

Never Let Go ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับ อเล็กซองดร์ อาฌา (The Hills Have Eyes, Crawl) เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในป่ารกร้างที่ห่างไกลผู้คน เมื่อ จูน (ฮัลลี เบอร์รี) หญิงสาวที่มีอดีตเป็นปริศนา ต้องพยายามทุกทางเพื่อปกป้องลูกชายฝาแฝด ซามูเอล (แอนโธนี บี. เจนกินส์) และ โนแลน (เพอร์ซี แดกกส์ ที่ 4) จาก ปีศาจ ที่อยู่นอกอาณาเขตบ้าน และ ความหิวโหย ที่อาจทำให้ทั้งครอบครัวเอาชีวิตไม่รอดจากฤดูหนาวอันโหดร้ายที่กำลังมาถึง

เพราะกฎอันเคร่งครัด “ห้ามปล่อยเชือกจากกันเด็ดขาด” ทำให้บรรยากาศในบ้านชวนอึดอัดและกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในฝาแฝดอย่าง โนแลน ที่ตั้งคำถามตลอดเวลากับการมีอยู่ของ ปีศาจ รวมถึงความเป็นไปในโลกภายนอก 

...

จูน พยายามรับมือความสงสัยของ โนแลน โดยมี ซามูเอล ที่เชื่อฟังคำสั่งแม่โดยไม่มีข้อกังขา เป็นลูกคู่ แต่เมื่อความหิวโหยหนักข้อขึ้น กระทั่งจูนต้องตัดสินใจฆ่าอะไรบางอย่างเพื่อให้ทั้งครอบครัวผ่านพ้นหน้าหนาวไปให้ได้ โนแลน ก็ถึงขีดสุด และตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเช่นกัน!

หนังแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก คือ แนะนำตัวละครหลักและปมสำคัญของเรื่อง นั่นก็คือ กฎเหล็ก “NEVER LET GO” หรือ “ห้ามปล่อยเชือกจากกันเด็ดขาด” ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่าค่อนข้างน่าอึดอัด เพราะเต็มไปด้วยความสงสัยว่า ปีศาจมาจากไหน อยู่ที่ไหน มาได้อย่างไร และทำไมต้องใช้เชือกเป็นเครื่องป้องกัน

แน่นอนว่า โนแลน หนึ่งในฝาแฝดหนุ่มน้อย เป็นเสมือนตัวแทนคนดู(อย่างเรา)ที่เพียรถาม จูน แม่ของเขาถึงคำถามเหล่านี้ แต่ก็ไม่มีคำตอบอะไรมาก นอกจากจินตนาการชวนขนหัวลุกของเธอถึงอดีตที่พาทุกคนมาถึงจุดนี้ 

หลังงงงวยมาพักใหญ่ เราว่าหนังมาถึงจุดที่ตื่นเต้นขึ้นในตอนท้ายของช่วงที่สอง เมื่อตัวละครเดินทางมาถึงจุดที่กดดันที่สุด และตัดสินใจทำบางอย่างที่คาดไม่ถึง แน่นอนว่าเราก็ตะลึง แล้วก็เซอร์ไพรส์ด้วย เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ นั่นทำให้หนังช่วงต่อมา ซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย น่าสนใจขึ้นว่าเรื่องมันจะไปจบที่จุดไหน

ในช่วงสุดท้าย คำถามในช่วงแรกจะถูกคลี่คลาย เราจะได้รู้เสียทีว่า ปีศาจ มีอยู่จริงหรือไม่ อะไรคือความหมายที่แท้จริงของเชือก และ อะไรกันแน่คือสิ่งที่ปกป้องเราอยู่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าช่วงนี้ดูสนุกที่สุด เพราะเต็มไปด้วยเรื่องที่ทำให้ตัวละคร(รวมทั้งเรา)ลังเล ว่าจะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีหรือไม่

...

ภาพรวมของ NEVER LET GO คือการตั้งคำถาม สะท้อนปมปัญหาในชีวิตจริงของพ่อแม่หลายคนที่อาจยังหาจุดสมดุลของ การปกป้องลูก กับการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้ โดยหนังเลือกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละครเด็กชายฝาแฝดที่มีความคิดเห็นต่อโลกที่พวกเขาเห็นต่างกันโดยสิ้นเชิง

ซามูเอล คือตัวแทนคนที่เชื่อฟังพ่อแม่ เขาทำทุกอย่างตามกรอบ และกฎที่ถูกวางไว้ นั่นอาจทำให้เขาไม่เคยเรียนรู้ความยืดหยุ่น รวมถึงการปรับตัวหากมีบางอย่างเปลี่ยนไป ตรงกันข้ามกับ โนแลน ฝาแฝดอีกคน ที่เป็นพวกหัวขบถ มีจินตนาการ และช่างตั้งคำถาม แน่นอนแหละว่าเขาเป็นคนอ่อนโยน แต่ก็ไม่อ่อนแอ และเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้น เขาก็ไม่ลังเลจะใช้สัญชาตญาณตัวเองเพื่อรับมือ

เราว่าหนังเข้าใจไม่ยาก เพราะตัวเปรียบเทียบชัด และน่าสนใจที่เลือกใช้ ปีศาจ เป็นตัวเปรียบเทียบของ ภัยคุกคามจากโลกภายนอก ที่พ่อแม่หลายคนอาจเป็นกังวลใจ และอยากจะปกป้องลูกๆ ของตนให้ถึงที่สุด จนอาจลืมไปว่าเด็กๆ จะเป็นยังไง หากวันหนึ่งโลกนี้ไม่มีพวกเขาคอยโอบอุ้ม

...

นอกจาก ปีศาจ จะถูกใช้เปรียบกับ ภัยคุกคามจากโลกภายนอก แล้ว ปีศาจ ยังถูกนำไปเปรียบกับ การปกป้องของพ่อแม่ อีกด้วย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าสนใจมาก เพราะมันดูเหมือนเป็นการเปรียบเทียบที่โหดร้าย(โดยเฉพาะกับพ่อแม่) แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็จะพบว่าหลายต่อหลายครั้ง การปกป้องที่เกินขอบเขตก็อาจสร้างความร้าวฉาน ความแตกแยก และความล่มสลายในที่สุด

เอาเป็นว่าหนังดูสนุก พล็อตเรื่องและสิ่งที่ต้องการเสนอ ถูกแฝงตัวไว้อย่างน่าสนใจใน หนังสยองขวัญ เอาตัวรอด ซึ่งแวบแรกหลายคนอาจสงสัยว่าจะเป็นไปได้หรือ แต่เชื่อเถอะว่ามันเป็นไปแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศลึกลับ และจังหวะระทึกขวัญ เราอาจจะได้สำรวจความคิดของตัวเองไปพร้อมๆ กันว่าที่เรากำลังกลัว ที่จริงมันคือ ปีศาจ หรืออะไรกันแน่…

จนกว่าจะพบกันใหม่

อ่านบทความอื่น ของคอลัมน์มาดูกับมาดาม