ผลพวงการทดลองลับที่ผิดพลาด กลายเป็นอันตรายร้ายแรงที่ยากจะควบคุม น่าจะเป็นพล็อตหนังแนวไซไฟที่หลายคนคุ้นเคยดี แต่ส่วนมากอันตรายที่ว่ามักมาจากมนุษย์ ไม่ว่าจะ มนุษย์กลายพันธุ์ หรือว่ามนุษย์ที่มีพลังพิเศษ แต่สำหรับ Project Silence ตัวอันตรายที่ว่ากลับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นน้องหมา สัตว์สี่ขาที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจนกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร

จินตนาการก่อนดูว่า หมาทดลอง วายร้ายของเรื่อง จะเป็นแบบไหน จะเป็นแบบ Werewolf หรือมนุษย์หมาป่าหรือไม่ หรือจะเป็นแบบหมาป่าที่รุมทึ้งคนที่หลงป่า ปรากฏว่าของจริงเร้าใจกว่ามาก เพราะเครื่องจักรสังหารสี่ขาที่ว่านี้ดูฉลาดล้ำ ที่สำคัญ ดูมีคาแรกเตอร์และมีหัวใจมากกว่าที่เราคิด

Project Silence เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่ติดค้างกลางสะพานข้ามไปสนามบิน เพราะอุบัติเหตุรถชนหมู่จากสภาพอากาศ หมอกหนา ปกคลุมบดบังทัศนวิสัย จองวอน (อีซอนคยุน) คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวและรองผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงประจำสำนักประธานาธิบดีของเกาหลี และลูกสาวคนเดียว คยองมิน (คิมซูอัน) ก็ติดอยู่ด้วย พร้อมผู้ประสบภัยคนอื่นๆ

ทุกอย่างคงผ่านพ้นด้วยดี หากว่าหนึ่งในกลุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุ จะไม่ใช่ ดร.ยาง (คิมฮีวอน) นักวิทยาศาสตร์ผู้ดูแลโครงการลับที่ชื่อว่า Project Silence เขามาพร้อมกับรถบรรทุกสัตว์ทดลองลอตใหญ่ ซึ่งดันหลุดออกจากกรงยกฝูงหลังจากรถคว่ำ!

กลุ่มทหารที่ตามอารักขา ดร.ยาง พยายามควบคุมสถานการณ์ จับหมาเข้ากรง แต่ก็เกิดเรื่องจนได้ เพราะหนึ่งในกลุ่มหมาที่มีชื่อว่า เอ็กโค ดันฉลาดเกิน ทำเครื่องส่งสัญญาณหลุด รับคำสั่งไม่ได้ กลายเป็นผู้นำขบวนการปลดแอก เอาคืนทุกคนที่ทำให้พวกหมากลายเป็นสัตว์ทดลองอันแสนโหดร้าย

...

พล็อตหลังจากนั้น ทุกคนคงพอคาดเดาได้ กลุ่มผู้ประสบภัยต่างต้องหนีตายจากกลุ่มเครื่องจักรสังหารสี่ขาที่ดันถูกป้อนคำสั่งที่ผิดพลาดให้เชือดหมู่คนที่อยู่ในระยะทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามีกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวที่รอดชีวิต และต้องฝ่าฝูงหมาชีวะคลั่งกลุ่มนี้ออกไปให้ได้ 

กลุ่มผู้รอดชีวิตที่ว่าก็นำทีมโดย จองวอน และคยองมิน สองพ่อลูกตัวเอกของเรื่อง ดร.ยาง ตัวต้นเหตุ และกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่ง แต่อีกคนที่ดันโผล่มาเพราะความบังเอิญ และติดอยู่บนสะพานนั้นด้วยก็คือ โจบัก (จูจีฮุน) คนขับรถลากจอมกวนที่มาพร้อมกับ โจดี้ หมาน้อยน่ารักของเขา

เรื่องวุ่นวายหนีตายหนักข้อและเลยเถิดขึ้นเรื่อยๆ และที่มันระทึกก็เพราะสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องรับมือดันเป็นน้องหมาที่กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร แทนที่จะเป็นน้องหมาที่น่ารักน่าเอ็นดูตามปกติ ใครจะไปคาดเดาได้ว่าสัตว์สี่ขาที่น่าจะเชื่องจะฟัดไม่เลือกขนาดนั้น

และก็เพราะความระทึกจากการคาดเดาไม่ได้นี่เอง ทำให้เรื่องดูสนุกกว่าที่คิด นอกจากเราจะเดาทางหมาไม่ถูกแล้ว ส่วนตัวก็คิดว่ามันให้บรรยากาศใหม่ๆ เพราะเหมือนว่าช่วงนี้จะเต็มไปด้วยหนังไซไฟที่มีพล็อตเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ทดลอง ซึ่งก็มักจะให้ความรู้สึกเดิมๆ อยู่ที่ว่าใครจะโหด ใครจะถึก ใครจะสู้ได้ถึงใจกว่ากันเท่านั้น

...

จะว่าไป นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้ดูหนังที่มีหมาเป็นสัตว์ทดลอง ฝั่งฮอลลีวูดก็มีหลายเรื่อง เช่น Resident Evil เป็นต้น แต่สำหรับ Project Silence เราจะได้เห็นศักยภาพ หมาทดลอง เป็นครั้งแรก ที่เอาจริงๆ ก็โหดเอาเรื่อง และส่วนตัวคิดว่ามันมีกลิ่นอายความเกาหลีที่มักใส่ดราม่าแฝงมากับเรื่องหรือตัวละครในหนังแทบทุกแนว ซึ่งสำหรับ Project Silence ก็แทรกไว้หลายจุด ทั้งความสัมพันธ์ที่เปราะบางของพ่อลูก ความกดดันในหน้าที่การงาน และที่ขาดไม่ได้ ความทุกข์ทรมานจากการทดลองสัตว์ที่บีบหัวใจเราไม่น้อย ทำให้เราถึงกับต้องชั่งใจว่าควรเอาใจช่วยฝ่ายไหน ระหว่างคนที่ต้องหนีตายแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว กับหมาที่ถูกทรมานทั้งร่างกายและใจมาตั้งแต่เกิด!

...

นอกจากภาพรวมของเรื่องที่ดูสนุกแล้ว จุดเด่นของเรื่องนี้น่าจะเป็นกองทัพนักแสดงที่เป็นระดับแถวหน้าของเกาหลีแทบทั้งนั้น ที่สำคัญ เกือบทั้งหมดเคยมีผลงานในแนวเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็น อีซอนคยุน จากหนังที่ชนะรางวัลออสการ์ อย่าง Parasite (2019), จูจีฮุน จากซีรีส์ในตำนานอย่าง Kingdom ซีซั่น 1 และ 2 (2019-2020) และภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Along with the Gods ภาค 1 และ 2, คิมฮีวอน จากซีรีส์ยอดฮิต Moving (2023), และสาวน้อย คิมซูอัน ที่หลายคนเคยเอาใจช่วยเธอมาแล้วจาก Train to Busan (2016) 

แน่นอน เมื่อเหล่านักแสดงคุณภาพรวมตัว ความคาดหวังคนดูอย่างเราๆ ก็สูงตามไปด้วย ซึ่งทีมนักแสดงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ละคนสวมบทบาทตัวเองได้ดี แม้ว่าพล็อตโดยรวมเราจะเดาทางได้ไม่ยากหลังดูไปครึ่งเรื่อง แต่งานดีเทล งานโปรดักชันต่างๆ โดยเฉพาะงาน CG ทำได้ดีมากๆ จนดูแทบไม่ออกว่าไหนของจริง ไหนงานสร้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถือว่าตามมาตรฐานหนังฟอร์มยักษ์ของเกาหลีเลยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังน่าดูและดูสนุกได้อย่างไม่ต้องสงสัย

...

เอาเป็นว่าโดยรวม ดูสนุกดี พล็อตเรื่องไม่หวือหวา หรือแปลกใหม่มาก แต่มีจุดเด่นอื่นๆ มาช่วย ไม่ว่าจะเป็นกองทัพนักแสดงคุณภาพ และเป็นแม่เหล็กดึงดูดได้ดี งานโปรดักชันต่างๆ โดยเฉพาะเทคนิคพิเศษที่ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ดูแทบไม่ออกว่าจริงหรือหลอก! ซึ่งถ้าใครเป็นคอหนังแนวนี้ก็ไม่ควรพลาด รับรองว่านั่งไม่ติดเบาะแน่ เพราะเดาทางหมาไม่ได้ว่าจะโผล่มาจากมุมไหน และที่สำคัญ เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องส่งท้ายของ อีซอนคยุน นักแสดงในตำนานที่เราคงจะจดจำเขาไปอีกนาน

จนกว่าจะพบกันใหม่

ติดตามอ่านบทความอื่นๆ ของคอลัมน์ มาดูกับมาดาม