ถ้าคุณอยากรู้ว่าตัวละครหญิงแขนกุดหนึ่งข้างใน Mad Max : Fury Road เป็นใครมาจากไหน คุณจะได้คำตอบจากเรื่องนี้ Furiosa : A Mad Max Saga

“แม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี” เป็นตัวละครที่หลายคนรู้จักดี ตั้งแต่เมื่อครั้งที่รับบทโดย “เมล กิ๊บสัน” ในปี 1979 จนมาถึง “ทอม ฮาร์ดี้” ในปี 2015 และทำให้ชื่อเสียงของ “จอร์จ มิลเลอร์” กลับมายิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ชมรุ่นใหม่ เมื่อภาพยนตร์ “Mad Max : Fury Road” กวาดรางวัลออสการ์ได้หลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น ออกแบบงานสร้าง (Production Design), ตัดต่อและผสมเสียง (Sound Editing and Sound Mixing), ออกแบบเสื้อผ้า (Costume Design), แต่งหน้าและออกแบบทรงผม (Makeup and Hairstyling), และตัดต่อภาพ (Film Editing) ตัวเราก็เช่นกันที่เหมือนจะระลึกชาติได้ว่าเคยนั่งดู “Mad Max” (1979) กับพ่อเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่ภาพจำก็เลือนรางเต็มที เพิ่งมานึกได้ว่ารู้จักตัวละคร “แม็กซ์” ก็ตอนที่เขากลับมาทำใหม่


เรื่องของ “แม็กซ์” ใน “Mad Max : Fury Road” (2015) เป็นเรื่องราวต่อจาก Mad Max” (1979) และอีกหลายภาคที่มีต่อมา ที่มาที่ไปและ “อดีต” ของเขาเลยไม่เป็นที่กังขานัก ต่างจากตัวละครหญิงอีกตัว “ฟูริโอซ่า” ซึ่งรับบทโดย “ชาร์รีซ เทรัน” ว่าเป็นใครมาจากไหน และทำไมถึงเป็นผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญในหมู่ผู้ชายสุดคลั่งในดินแดนรกร้าง?

...


“ฟูริโอซ่า” ใน “Furiosa : A Mad Max Saga” รับบทโดยนักแสดงสาวดาวรุ่ง “อันยา เทย์เลอร์-จอย” เด็กสาวที่ถูกลักพาตัวมาจากดินแดนสีเขียว หรือที่ในเรื่องเรียกว่า Green Place of Many Mothers โดยกลุ่มไบเกอร์ ที่นำโดยผู้นำหนุ่มจอมบ้าเลือดอย่าง “วอร์ลอร์ด ดีเมนทัส” ซึ่งรับบทโดยนักแสดงหนุ่มชาวออสซี่ “คริส เฮมส์เวิร์ธ” 


เรื่องราวของ “ฟูริโอซ่า” เริ่มต้นอย่างโหดร้ายและเจ็บปวด การถูกพรากจากทุกอย่างที่รักและผูกพันทำให้ฟูริโอซ่าต้องแกร่งและโตเร็วเกินอายุ สถานการณ์ที่เธอต้องเอาตัวรอด ทั้งเอาชีวิตรอด การถูกเอารัดเอาเปรียบ และการถูกกดขี่จากเพศชายในหมู่พวกเวสต์แลนด์ ทำให้เธอต้องซ่อนตัวตน รวมถึงแผนการล้างแค้น เพื่อได้กลับสู่มาตุภูมิตามที่เธอเคยได้ให้สัญญากับแม่ก่อนที่ต้องจากกันตลอดชีวิต และนี่คือเรื่องราวของ “ฟูริโอซ่า” ที่เราจะได้เห็นใน “Furiosa : A Mad Max Saga”


องค์ประกอบที่โดดเด่นมากมาตั้งแต่ “Mad Max” (1979), “Mad Max : Fury Road” (2015) จนถึง “Furiosa : A Mad Max Saga” (2024) คือออกแบบงานสร้าง หรือ Production Design รวมไปถึงงานออกแบบศิลป์อื่นๆ ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม ส่วนตัวคิดว่าเป็นผลงานที่เหนือจินตนาการ ฉูดฉาดและล้ำมาก แม้ว่าเรื่องราว ตัวละคร และฉากหลังทั้งหมดจะเกิดในอนาคตที่เสื่อมทรามและเสื่อมสลาย แต่ก็เป็นความเสื่อมที่น่าดูชมทีเดียว ซึ่งในภาคแยกล่าสุดอย่าง “Furiosa : A Mad Max Saga” ก็ไม่ได้ทำให้เสียชื่อ ดีเทลงานออกแบบสร้างดีงามมากๆ หลายอย่างที่เราเคยมองข้าม หรือว่ามองไม่เห็นดีเทล เราก็ได้เห็นชัดจากภาคนี้

...


ดีเทลเด่นๆ ที่ไม่เขียนถึงไม่ได้คงเป็นฉากหลังของเรื่อง ทะเลทรายเวิ้งว้าง เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างรูปร่างประหลาด ผสมผสานทั้งความดิบเถื่อนและความโมเดิร์นได้อย่างน่าทึ่ง รวมไปถึง prop ขนาดใหญ่ที่เป็นหนึ่งในหัวใจของเรื่องอย่างรถ “War Rig” ที่เราจะได้เห็นกำเนิดของมันในภาคนี้ หลังจากที่ได้เห็นมันแทบทั้งเรื่องในภาคก่อน ขอบอกเลยว่าเครื่องกลและเครื่องยนต์สลับซับซ้อนมากจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่หรือคือแดนเถื่อน 


เสื้อผ้า หน้าผม ของเหล่าตัวละครก็เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ทำให้หลายคนจดจำมหากาพย์ Mad Max ได้ และภาคนี้ก็ไม่ได้ตกมาตรฐาน โดยเฉพาะตัวละคร “วอร์ลอร์ด ดีเมนทัส” ซึ่งรับบทโดย “คริส เฮมส์เวิร์ธ” ก็ทำให้เราทั้งขำทั้งตะลึงกับแฟชั่นตุ๊กตาหมีน้อยที่ติดสอยห้อยตามเขาไปทุกที่ อย่างไรก็ดี มันมีเหตุผลอยู่นะที่วอร์ลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่และแสนจะป่าเถื่อนทำแบบนั้น ถ้าอยากรู้ต้องตามไปดูกันค่ะ

...


นอกจากงานออกแบบสร้างและกำกับศิลป์ต่างๆ แล้ว การแสดงของ “อันยา เทย์เลอร์-จอย” ผู้รับบท “ฟูริโอซ่า” ก็น่าจับตาไม่แพ้กัน แม้ว่าเธอจะรูปร่างบอบบางและตัวเล็กมาก เมื่อเทียบกับนักแสดงเกือบทั้งหมด รวมทั้ง “ชาร์รีซ เทรัน” ที่รับบทเดียวกันในภาคที่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค ทั้งฉากต่อสู้ ขับรถ หรือฉากขี่มอเตอร์ไซค์วิบากเธอก็ทำได้ดี ดุดันและฉีกภาพบทบาทก่อนหน้าของเธอไปได้ แต่ที่ทำให้เราจดจำเธอได้ดีที่สุด คือแววตาดุดันที่มีทั้งความแค้นและ ความเศร้า ตลอดทั้งเรื่อง จนเราอดเอาใจช่วยเธอไม่ได้ 


และองค์ประกอบสุดท้ายที่เราคิดว่า “Furiosa : A Mad Max Saga” ทำได้ดี คืองานเสียง ทั้งดนตรีและเสียงประกอบต่างๆ แน่นอนว่าแนวเพลงอาจไม่รื่นหู แต่ก็ช่วยเล่าเรื่องและถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะฉากใหญ่ๆ ที่แสดงถึงพลังอำนาจ และการต่อรองระหว่างเหล่าตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น “ดีเมนทัส”, “อิมมอร์ตันโจ” วายร้ายจากภาคที่แล้ว และแม้แต่ฉากของ “ฟูริโอซ่า” ที่หลายฉากก็บีบหัวใจและชวนให้คลั่งแค้นไปกับชะตากรรมของเธอ 

...


เรียกได้ว่างานออกแบบและดีเทลต่างๆ “Furiosa : A Mad Max Saga” ทำถึง และทำดีทีเดียว แต่ภาพรวม ความโหด ความระห่ำ และความบ้าคลั่ง ยังสู้ภาคก่อนๆ ไม่ได้ ส่วนตัวเรา...แม้ไม่นิยมหนังเนื้อเรื่องป่าเถื่อนขนาดนั้น แต่ก็เข้าใจได้หากผู้ชมส่วนมากจะคาดหวังความคลั่งในระดับที่เทียบเท่าหรือมากขึ้นในภาคต่อๆ มา 


รวมๆ เราคิดว่า “จอร์จ มิลเลอร์” ยังทำผลงานได้ดี “ความบ้าคลั่งที่ฉูดฉาด” นี้ ยังคงเอกลักษณ์ เป็นเหมือนลายเซ็นที่ทำให้หลายคนจดจำเขาได้ นอกจากนี้ “Furiosa : A Mad Max Saga” ยังถ่ายทอดสารต่างๆ ที่เขาเคยให้ไว้ใน Mad Max ภาคก่อนๆ โดยเฉพาะเรื่องอนาคตอันเสื่อมสลายของมวลมนุษยชาติที่เหมือนจะเดินถอยหลังลงเรื่อยๆ จากพฤติกรรมต่างๆ ที่แทบไม่เคยเปลี่ยน แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนผ่านไปกี่ยุค 


เอาเป็นว่าแฟนๆ “จอร์จ มิลเลอร์” และมหากาพย์ Mad Max ต้องไม่พลาดนะคะ แม้ว่าจะไม่ป่าเถื่อน ดุเดือด เลือดท่วมแทบทุกฉากเหมือนภาคที่แล้ว หรือภาคก่อนหน้า แต่เชื่อเถอะว่าจินตนาการดำมืดในภาคนี้ รวมถึงบทสรุปการล้างแค้นของ “ฟูริโอซ่า” ก็ไม่น้อยหน้าภาคไหนๆ…ดุได้ถึงใจจริงๆ อิหนูเอ๊ย


มาดามอองทัวร์