เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเป็นเจ้าของตุ๊กตายอดฮิตอย่าง “บาร์บี้” ในวัยเด็ก...เราก็เคยมี แม้จะจำไม่ได้แล้วว่าเล่นอะไรกับบาร์บี้ตัวโปรดบ้าง แต่พอจำได้รางๆ ว่าน่าจะเป็นความทรงจำที่ดี

ความรู้สึกแรกหลังได้ชม “Barbie” คือ หนังทำให้แบรนด์ “Barbie” และสีชมพูกลับมาเจิดจรัสและอินเทรนด์อีกครั้ง และแม้ว่าเราจะยังไม่อยากซื้อบาร์บี้ตัวใหม่ แต่ก็อาจจะตัดสินใจซื้อเป็นของขวัญให้เด็กสักคนในอนาคต

“Barbie” เขียนบทและกำกับโดย “เกรต้า เกอร์วิก” ผู้กำกับฯ ที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ จาก “Little Women” และ “Lady Bird” นำแสดงโดย “มาร์โก้ ร็อบบี้” ซึ่งก็เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ด้วยเช่นกันจาก “Bombshell” และ “I, Tonya” โดยมี “แมทเทล” บริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของแบรนด์ “Barbie” เป็นผู้ผลักดันและสนับสนุนหลัก ซึ่งก็น่าจับตาและท้าทายมากว่าทีมผู้สร้างจะทำให้บาร์บี้กลับมาอยู่ในกระแสได้ยังไง

...

ก่อนเข้าโรงเราก็คาดไว้แล้วว่าหนังน่าจะทำเพื่อ Rebrand & Reborn “บาร์บี้” แต่ก็เดาทางไม่ถูกเหมือนกันว่า เกรต้าจะทำออกมาแบบไหน ซึ่งหลังจากดูก็ต้องยอมรับว่าหนังดีกว่าที่คาดไว้มาก ทำให้เราคิดถึงบาร์บี้มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาตลอดหลายปี แถมทำให้เรามองบาร์บี้เปลี่ยนไปด้วยว่าที่ผ่านมาบาร์บี้ก็พยายามมากจะร่วมสมัย แต่ก็เหมือนจะมี “พันธนาการ” บางอย่างทำให้บาร์บี้ไม่ได้โตไปตามวัยกับเด็กๆ กล่าวคือ เมื่อเด็กกลายเป็นวัยรุ่น...บาร์บี้ก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

หนังทำให้เราค้นพบว่า “Barbie” ไม่ได้มีแค่แบบพิมพ์นิยม แต่มีหลากหลายคาแรกเตอร์อย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งแทบทุกตัวจะมีคาแรกเตอร์โดดเด่น เสมือนเป็นตัวแทน “ผู้หญิง” ทั้งโลกว่าพวกเธอจะเป็นอะไรก็ได้ถ้าอยากเป็น (ไม่แพ้ผู้ชาย) ซึ่งก็ดูจะปกติดี แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง หนังก็ทำให้เราเห็นว่านั่นอาจไม่ใช่คำตอบที่ “บาร์บี้” (หรือผู้หญิงทั้งโลกในยุคนี้) กำลังตามหา

เราชอบฉากที่ให้บาร์บี้ (มาร์โก้) เลือกรองเท้าสองแบบเป็นพิเศษ (เดาว่ารองเท้าแตะยี่ห้อนั้น รุ่นนั้น น่าจะขายดีมากๆ หลังจากนี้) เพราะทำให้เห็นภาพชัดและเริ่มจะมั่นใจในฉากนั้นเองว่าหนังจะพาเราไปในทิศทางไหน คือไม่ใช่แค่พาบาร์บี้ไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงเท่านั้น แต่ต้องทำให้ “Barbie” ตามยุคสมัยทัน และอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุขเพราะมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง 

...

โดดเด่นสุดของเรื่องคงหนีไม่พ้น “มาร์โก้ ร็อบบี้” ผู้รับบท “บาร์บี้” แบบพิมพ์นิยม สาวผมบลอนด์ที่ใครๆ ก็รู้จัก คุ้นเคย จนแทบจะเป็น “ภาพจำ” ของคนทั่วโลกไปแล้ว  

“ฉันคือบาร์บี้ในแบบที่ทุกคนคิดถึงนั่นแหละ”

มาร์โก้รับบท “บาร์บี้” ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เราได้รู้จักตัวตนและความเชื่อของบาร์บี้ในแบบที่เคยเป็นมาตลอด (อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่เราเป็นเด็ก) กระทั่งทำให้เราได้เห็นไปพร้อมๆ กับตัวละครว่าถึงเวลาหรือยังที่บาร์บี้จะต้อง “ปรับตัว” และ “เปลี่ยนแปลง” เพื่อให้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้

...

อันที่จริงหนังเดาทางได้ไม่ยากหลังผ่านครึ่งชั่วโมงแรก แต่เกรต้า (ผู้กำกับ) ก็ทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้นด้วยการนำเสนอมุมมองต่างๆ เกี่ยวกับบาร์บี้จากตัวละครแวดล้อมอื่นๆ ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นด้วยว่าสถานการณ์ด้านภาพลักษณ์ของบาร์บี้ในปัจจุบันเป็นอย่างไร และถ้าอยากรอดต้องไปทางไหน 

ไม่ใช่แค่ตัวละคร “Barbie” เท่านั้นที่ถูกขยี้และตีความในเรื่องนี้ แต่ตัวละครอีกตัวที่เราคุ้นหน้าคุ้นตา แต่กลับไม่เคยรู้ที่มาที่ไปอย่าง “เคน” (รับบทโดย ไรอัน กอสลิ่ง) ก็ถูกนำมาตีแผ่ให้แฟนๆ ทั่วโลกได้รู้จักมากขึ้น ซึ่งไรอันก็ทำหน้าที่ของเขาได้ดีมากๆ ทำให้ตัวละครเคนกลายเป็นหนึ่งในสีสันสำคัญของเรื่องทีเดียว 

...

แน่นอนว่าหลายคนอาจมีคำถามว่า “เคน” มีความสัมพันธ์กับ “บาร์บี้” แบบไหน ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่สาระหลักของเรื่อง (แต่เราจะรู้คำตอบนะคะ) แต่ “ตัวตน” ของเคนต่างหากที่สำคัญ ทำให้เราในฐานะคนดูรู้จักเขามากขึ้น แถมทำให้บาร์บี้ได้มองเห็นภาพจริงๆ เป็นครั้งแรกว่าคนรอบตัวมองเธอแบบไหน

นอกจากตัวละครหลักที่ทำให้หนังดูสนุกและให้มุมมองที่แตกต่างแล้ว องค์ประกอบศิลป์หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ฉากหลัง เพลงประกอบ หรือเสื้อผ้าหน้าผม ก็ทำออกมาได้ดี ดีแบบเกินความคาดหวังของเราไปมาก ซึ่งส่วนตัวมองว่าทำให้ภาพรวมของหนังดูอลังการและดึงดูดกลุ่มคนแบบ Mass ได้มากขึ้น 

เอาเป็นว่าหนังดีไม่ควรพลาด นอกจากเนื้อเรื่องจะดี จับต้องได้ งานภาพก็ยิ่งใหญ่และชวนให้ตื่นตาตื่นใจมาก โดยเฉพาะคอลเลกชันต่างๆ ของชุดบาร์บี้ที่แฟนคลับต้องกรี๊ด ทำให้แบรนด์ “บาร์บี้” กลับมาเฉิดฉาย หลังปล่อยให้ตุ๊กตาอื่นๆ คาแรกเตอร์จากในวิดีโอเกม หรือจากแอนิเมชันช่วงชิงมูลค่าทางการตลาดมานาน 

นับว่าเป็นก้าวที่ดีของ “บาร์บี้” ทำให้เธอได้เกิดและกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง 

มาดามอองทัวร์

Twitter: @MadamAutuer