One Piece Film: Red (ผมแดงผู้นำมาซึ่งบทสรุป) เข้าฉายในช่วงเวลาพิเศษ ทั้งเรื่องราวก็เพิ่งจบภาควาโนะคุนิอันยาวนาน และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ช่วงองก์สุดท้าย ซึ่งจะพาไปสู่บทสรุปกับคำถามที่แฟนๆ รอคอย ว่า “วันพีซ” คืออะไร? และที่สำคัญคือการฉลองครบรอบ 25 ปี ของมังงะเรื่องดังอันดับหนึ่งของโลก จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจกับข่าวการทุบสถิติรายได้บน Box Office ที่ญี่ปุ่น การทำรายได้ 10,000 ล้านเยน (ประมาณ 2,600 ล้านบาท) ภายในเวลาเพียง 20 วัน นั่นทำให้ One Piece Film: Red เป็นหนังที่แฟนวันพีซชาวไทยอย่างเราย่อมไม่พลาด

ตั้งแต่ One Piece Film: Strong World (2009), One Piece Film: Z (2012), One Piece Film: Gold (2016), One Piece Film: Stampede (2019) ดูเหมือนว่าทาง Toei Animation จะได้ “สูตรสำเร็จ” ในการทำแอนิเมชันวันพีซในฉบับภาพยนตร์ แน่นอนว่ากลุ่มหมวกฟางต้องไปเจอ หรือพาตัวเองไปเจอสถานการณ์พิเศษ ตัวละครพิเศษ หรือบอสของภาคที่มีพลังหรือบทบาทที่สะเทือนโลกวันพีซ ชุดพิเศษเฉพาะฉบับมูฟวี่ ฉากเทคนิคพิเศษประเภทงาน 3 มิติ เพื่อเนรมิตฉากแอ็กชั่นสุดมันให้แฟนๆ ได้ว้าว เป็นต้น กระทั่งการมาถึงของ One Piece Film: Red ที่สูตรสำเร็จข้างต้นที่ว่ามาก็ยังมีอยู่ แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือการเล่าเรื่องในแบบ “มิวสิคัล” มาใช้

...

ศูนย์กลางของ One Piece Film: Red คือตัวละครใหม่ที่ชื่อ Uta ไอดอลอันดับ 1 ในโลกวันพีซซึ่งเป็นเพื่อนซี้ในวัยเด็กของลูฟี่ และยังเป็นลูกสาวของแชงค์ หนึ่งใน 4 จักรพรรดิ ซึ่งได้เปิดการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่และถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ซึ่งกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางก็ได้เข้าร่วมชมคอนเสิร์ตนี้เช่นเดียวกัน และนั่นทำให้ Film Red เดินเรื่องด้วยดนตรีและเสียงเพลงจนกลายเป็น "แอ็กชั่นผสมมิวสิคัล" ที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียง ที่ดูแล้วรู้สึกว่า Toei Animation ตั้งใจทำออกมามากๆ (ซึ่งเป็นรูปแบบการนำเสนอที่ฉบับมังงะไม่มีทางทำได้) จนเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังวันพีซในโรงภาพยนตร์

การนำเสนอวันพีซในรูปแบบ “มิวสิคัลและไอดอล” นี้จะว่าไปก็เป็นการชู Soft Power อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น กับวัฒนธรรมการสนับสนุนและเชียร์ไอดอล ตอกย้ำด้วยเพลงและเสียงพากย์ก็ได้ “Ado” นักร้องวัย 19 ปี ที่มีประวัติและผลงานไม่ธรรมดา มีจุดเด่นที่เป็นศิลปินที่ไม่เปิดเผยตัวต่อสาธารณะ คล้ายๆ กับ Vtuber ที่เน้นนำเสนอผลงานให้แฟนๆ ได้ติดตามที่ผลงานมากกว่าสนใจที่ตัวตน ซึ่งเสียงพากย์และเพลงที่ร้องโดย Ado ก็ช่วยเสริมให้ Film Red เป็นภาคที่พิเศษและน่าจดจำ

แม้ไอดอลโชว์ หรือการแสดงคอนเสิร์ตจะเต็มไปด้วยสีสัน แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ก็ค่อยๆ เผยกลิ่นอายดำมืด เหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจในภาคนี้ ซึ่งดราม่าในภาคนี้ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัญหาของภาคนี้ที่ดูจะหนักข้อกว่าหลายภาคที่ผ่านมา ก็คือ เรื่องที่อยากเล่านั้นมากเกินไป ยิ่งสถานการณ์ถูกยกระดับให้ใหญ่ระดับโลก ยิ่งทำให้รายละเอียดที่เล่าก็ยิ่งมีเพิ่มเติมมากขึ้นไปอีก แต่ด้วยเวลาของหนังแอนิเมชันอันจำกัด เลยส่งผลให้การเล่าเรื่องดูเร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด พอการเล่าเรื่องมีปัญหา เลยส่งผลให้การทำให้คนดู "อิน" ไปกับเรื่องราวนั้นทำได้ยากยิ่ง จับอารมณ์ความรู้สึกร่วมได้ลำบาก การเล่าเรื่องใน Film Red จึงมีความเป็นการฉายภาพเล่าเรื่องให้เราได้ดู มากกว่าจะเล่าเรื่องให้เราได้อิน

...

อย่างที่ว่าไว้ในตอนต้น จุดขายอย่างหนึ่งของหนัง One Piece ภาคหลังๆ คือ "บอส" ประจำภาคที่เก่งและโดดเด่นขึ้น ให้สมกับความเก่งกาจของกลุ่มหมวกฟางที่สูงขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ Film Red กลับไม่ใช่ แม้ความสามารถของบอสประจำภาคนี้จะสุดอลังการ แต่กลับไร้เสน่ห์ในแบบที่ Film Z หรือ Stampede มี

พอเข้าใจอยู่ว่าจะให้น้ำหนักกับตัวละครพิเศษที่สำคัญมากๆ อย่าง "Uta" และ "แชงค์" แต่การไม่มีบอสที่โดดเด่นน่าสนใจมากพอ ก็ทำให้จุดขายทางด้าน "ฉากแอ็กชั่น" นั้นลดลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะชั้นเชิงด้านการต่อสู้ ที่มักจะใช้ทักษะ ความสามารถของบอสเข้าต่อสู้ ที่ทำให้กลุ่มหมวกฟางต้องสร้างสรรค์เพื่อหาทางเอาชนะพลังที่เหนือกว่า แต่ใน Film Red ดูจะกลายเป็นการ “สาดท่าไม้ตายเข้าใส่กัน” เพื่อทำทีมแอนิเมเตอร์ได้ทำฉากโชว์เท่ของแต่ละตัวละคร (ซึ่งก็ยอมรับว่าทำฉากท่าไม้ตายออกมาได้ดีมากจริงๆ) แต่มันก็ทำให้เสน่ห์ของฉากแอ็กชั่นวันพีซในแบบที่เคยมีนั้นหายไปอย่างน่าเสียดาย

แต่สิ่งที่เข้ามาทดแทนในภาคนี้ก็คือ การที่ "แชงค์" หนึ่งในตัวละครที่แฟนวันพีซรักมากๆ ได้มีบทบาทที่สุด (มากกว่าในมังงะทุกฉากรวมกันด้วย..มั้ง) แต่ทีมผู้สร้างก็เคารพต้นฉบับด้วยการมีเงื่อนไข! ที่จะะทำให้ช่วงเวลาสำคัญที่ทั้ง 2 จะพบกันในฉบับมังงะ จะไม่สูญเสียความสำคัญ และจะต้องเป็นหนึ่งในฉากที่น่าประทับใจที่สุดในเรื่องวันพีซ อีกทั้งการสร้างสถานการณ์ที่ทำให้อีกหลายตัวละครได้มีบทบาท หรือออกมาสร้างสีสัน ก็ทำให้ Film Red เป็นภาคที่จัดเต็มด้านเซอร์วิสแฟนๆ สมกับการฉลองครบรอบ 25 ปี ของ One Piece

...

ชา ตีตั๋วชนโรง
Twitter @Chamanz13
Facebook: ตีตั๋วชนโรง

อ่านรีวิวหนัง ตีตั๋วชนโรง เรื่องอื่นๆ