ร้อยเรียงเพลงและความเติบโตในฐานะศิลปินอยู่ในมินิอัลบั้ม “UNDRESS” ที่ศิลปินฮอต “PP Krit” “พีพี–กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ปลดเปลื้องทุกความรู้สึกใส่เป็นเรื่องราวในเพลงตั้งแต่ FIRE BOY, ลังเล, เส้นเรื่องเดิม,เสนอตัว จนมาถึง ขอโทษละกัน เลยชวน พีพี ถอดความในใจ...
เริ่มจากซิงเกิล “ขอโทษละกัน” ซิงเกิลที่ 5 เพลงปิดมินิอัลบั้ม ฟีดแบ็กดีเกินคาดมั้ย?
“เป็นอีกเพลงนึงที่แฮปปี้มากๆนะครับ ทั้งการทำงานด้วยแล้วก็ฟีดแบ็กต่างๆด้วย รู้สึกดีใจที่หลายๆคนบอกว่าชอบทุกองค์ประกอบเพราะเป็นความตั้งใจของเราอยู่แล้วที่จะไปถ่ายกันที่ปารีส ด้วยเพลงมันเป็นเพลงแอบรัก บรรยากาศความโรแมนติกที่นั่นน่าจะช่วยเรื่องของภาพแล้วก็ช่วยทำให้แบบคนเข้าใจกับอารมณ์ของเพลงได้ง่ายขึ้น จริงๆพีทำเพลงแอบรักในหลายเพลง แต่เหมือนรอบนี้มันก็จะเป็นความแอบรักที่ตรงไปตรงมา เป็นโมเมนต์ที่แอบชอบเค้าจริงๆ”
5 เพลงในมินิอัลบั้ม มันร้อยเรียงเรื่องราวยังไง?
“ก็ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวนะ เพราะอย่างเพลงแรก “FIRE BOY” ความตั้งใจของทีมคือเราเปิดตัวพีพีในฐานะศิลปินที่ออกมาทำค่ายเอง อธิบายตัวตนของเราแล้วพอ “ลังเล” ก็จะเป็นเพลงที่เร็วขึ้นมาหน่อย และเพลงต่อๆมา แต่ทุกเพลงมันก็จะเป็นมุมมองที่พีแอบชอบคนคนนึงเสมอ เซ็กซี่ซาบซ่าบ้าง ละมุนๆบ้าง ติดดราม่าบ้าง เป็นการแอบชอบหลายๆแบบ เหมือนเราอธิบายเรื่องความรักกับคนคนนึง ที่จริงๆเราแค่ชอบคนคนเดียวแต่ว่ามันสามารถนำพาเราไปได้หลากหลายความรู้สึกมากๆ”
...
มินิอัลบั้มนี้ใช้เวลาตั้งแต่เพลง FIRE BOY 2 ปีเลย?
“จริงๆอยากให้มันเสร็จภายใน 2 ปี แต่ด้วยอะไรต่างๆบางครั้งเราก็ยังไม่ชอบเพลงแนวนี้ ความชอบเราก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาด้วย เราพยายามทำสิ่งที่มันดีที่สุด ณ เวลานั้นๆด้วย เลยเลตดีเลย์มาเป็น 2 ปีนิดๆ ก็คุ้มค่านะครับ รู้สึกว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบมันจริงๆ”
ถึงวันนี้พีพีเห็นพัฒนาการ เห็นตัวเองโตขึ้นในฐานะศิลปิน “PP Krit” ยังไงบ้าง?
“โตขึ้นด้วยวัยที่มันมากขึ้นด้วย แล้วก็ประสบการณ์ที่มากขึ้น มันก็ได้รับการเรียนรู้มากขึ้นและสอนอะไรพีหลายๆอย่างมาก เราก็อาจจะเห็นตัวเองในทิศทางของศิลปินที่มันชัดเจนว่าจริงๆแล้วเราชอบ ไม่ชอบอะไร เราต้องการอะไร อยากไปในเวย์ไหน ภาพที่เราเห็นทุกอย่างมันก็ชัดขึ้น”
เส้นทางนี้บางงานมีอุปสรรค หรือกระแสด้านต่างๆเราก็ผ่านมาได้ตลอด คิดว่าผ่านมาได้จากอะไร?
“พีว่าการทำงานที่ดีมันก็คือการทำงานที่เราต้องเจอปัญหา เพราะถ้าทำงานแล้วเราราบรื่นไปทุกอย่างแสดงว่างานของเรามันก็นิ่งอยู่กับที่ เราไม่มีปัญหาอะไรเราก็จะไม่ได้เกิดการพัฒนาอะไรเกิดขึ้น พีมองว่าปัญหาที่มันเกิดขึ้นทุกๆอย่างมันผ่านไปได้ พีว่ามันเป็นเพราะว่าทีมงานนี่แหละครับ แล้วก็แฟนๆด้วยทำให้เราผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้”
รูปจากมินิอัลบั้ม UNDRESS แซ่บมาก จริงๆข้างในแซ่บเบอร์ไหน?
“จริงๆในคอนเซปต์คำว่า UNDRESS ที่พีชอบเพราะว่ามันก็ยังดูบ่งบอกถึงความเป็นคาแรกเตอร์ของเราด้วย มันก็จะมีความเซ็กซี่ มีความขี้เล่น แต่ความหมายลึกๆที่เราต้องการจะสื่อคือ UNDRESS ความรู้สึกของตัวพีจริงๆ อย่างโฟโต้เซตทุกคนอาจจะเห็นว่าเอ้ยมันก็คือรูปเซ็กซี่ปกติ แต่จริงๆแล้วถ้ามองแบบลึกๆสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสารมันคือการปลดเปลื้องทุกๆอย่างออกแล้วให้เห็นพีจริงๆในมู้ดกับอารมณ์ต่างๆที่มันเกิดขึ้น อยากให้ทุกคนไม่ต้องโฟกัสเลยว่าวันนี้พีใส่เสื้อผ้ายิ่งใหญ่อะไร หรือพีมาในเสื้อผ้าแบบกลิตเตอร์มากมายขนาดไหน แต่อยากให้ทุกคนมองไปถึงว่าจริงๆพีที่มันไม่มีอะไรเลยจริงๆมันเป็นยังไง”
แล้วถ้าถอดเป็นความรู้สึกของศิลปิน “PP Krit” ตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่?
“ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสเจอพี่อิ้งค์-วรันธร เค้าบอกว่าเราไม่ใช่ศิลปินรุ่นจูเนียร์แล้วนะแล้วก็คือศิลปินรุ่นใหญ่ เราก็บอกว่าจริงเหรอรุ่นใหญ่คืออะไรคืออายุหรือเปล่า (ยิ้ม) ก็อาจจะเป็นประสบการณ์มากกว่า พอเรากลับมานั่งคิดกับคำนี้แล้วก็มามองว่ามันก็อาจจะเป็นประสบการณ์เพราะว่าเด็กๆ หลายๆคนก็อาจจะเพิ่งเคยทำในสิ่งนี้ๆ แต่เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้วมากกว่า ก็ถือว่าเป็นศิลปินที่พีมองว่าพีก็ยังใหม่อยู่นะ ทุกๆอย่างมันก็ยังใหม่อยู่เสมอ เพราะมันยังมีอะไรอีกเยอะมากที่พียังไม่ได้ลงไปทำเหมือนกัน อย่างเดี๋ยวมีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกเนี่ยก็ถือว่าเป็นครั้งแรกของพีจริงๆ”
...
ตอนนี้มีด้านไหนที่พีพีอยากพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้น?
“ตอนนี้มันก็จะเป็นช่วงที่ใกล้คอนเสิร์ตเดี่ยว อีก 3-4 เดือนก็จะมีคอนเสิร์ตวันที่ 8-9 มี.ค.68 ช่วงนี้ก็อาจจะพัฒนาในเรื่องของการร้องเต้น ความแข็งแรง การออกกำลังกาย ทุกๆด้านที่จะทำให้การเพอร์ฟอร์มของพีมันออกมาได้ดีมากขึ้น อยากทำมันออกมาได้แฮปปี้จริงๆ การที่พีซ้อมเยอะๆเนี่ยมันจะทำให้พีสบายใจแล้วขึ้นไปเวทีแบบไม่ต้องคิดอะไร แต่เราก็ได้เรียนรู้ว่าถึงซ้อมเยอะพีก็ยังกังวลอยู่ดี สิ่งหนึ่งที่ต้องการตอนนี้จริงๆเลยคืออยากจะขึ้นไปเพอร์ฟอร์มบนเวทีแล้วพีไม่ลืมที่จะสนุกไปกับมัน ไม่ลืมที่จะแฮปปี้ไปกับตัวเอง ณ โมเมนต์นั้นๆด้วย คอนเสิร์ตครั้งนี้ก็เลยตั้งเป้าหมายว่าจะทำทุกอย่างให้มันดีที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้ อยากแฮปปี้และเอ็นจอยโมเมนต์ตรงหน้าไปกับทุกๆคนจริงๆ ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเรียนรู้”
การทำงานโซโล่คนเดียวช่วงนี้แบบที่อยู่ห่างกับบิวกิ้น–พุฒิพงศ์ จริงๆ เป็นยังไงบ้าง?
“จริงๆ ก็เป็นสักพักใหญ่ๆแล้วที่พีทำงานเดี่ยวแยกกับบิวกิ้นจริงๆ จนเราได้มีโอกาสถ่ายภาพยนตร์ด้วยกันถือว่าเป็นการทำงานที่เรากลับมาทำด้วยกัน ซึ่งมันก็จะเป็นอีกรสชาติหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ซึ่งส่วนตัวพีก็รู้สึกว่าเออพีชอบมากๆ น่าจะเป็นเวอร์ชันที่คนไทยเข้าถึง การทำงานยังรู้สึกถึงบรรยากาศเหมือนเดิม ยังรู้สึกว่าเราก็ไม่ได้ห่างกันไปไหนเลย ต่อให้เราดูเหมือนว่าจะห่างกันแต่สุดท้ายเราก็ยังใช้ทีมงานทีมเดียวกันในหลายๆเรื่องเพราะเราถือว่าเป็นบริษัทใกล้ๆกัน เลยไม่รู้สึกเหมือนเราห่างอะไรกันแค่มันชัดเจนในทิศทางของแต่ละคนมากกว่าว่าเราจะโกออนในเส้นทางศิลปินแบบไหน”
การไม่ได้มี “บิวกิ้น” อยู่ใกล้ๆทำให้เราค้นพบอะไรใหม่ๆบ้าง?
...
“ความสงบในหูของหนูและก็ในหัวใจของหนู”
ความสงบนี้มันดีใช่มั้ย?
“มันก็ดีนะครับ การที่เราอยู่ด้วยกันเยอะๆมันก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย พอเราอยู่ด้วยกันเยอะๆบางเรื่องเล็กๆน้อยๆจุกจิกมันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ พอเราได้ห่างกันสักพักนึงคิดว่ามันก็ดีนะ ต่างคนต่างได้ไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากทำแล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ คำว่าห่างกันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้คุยกันแต่เราแค่มีสเปซกัน พีว่าสำหรับทุกๆความสัมพันธ์มันก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เราก็ควรจะมีสเปซตรงนี้เพื่อให้เราได้เป็นตัวของเราเอง แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าเราห่างกัน เราไม่ได้คุยกัน เราไม่รักกัน ก็ไม่ใช่ พีเชื่อว่าวันที่เราได้กลับมาเจอกัน มันจะเป็นเรื่องที่ดี”
เค้าว่าคนห่างกัน พอเจอกันปุ๊บยิ่งคิดถึงกันจะเป็นอย่างนั้นมั้ย?
“มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นบ้างก็ได้ (ยิ้ม)”.
เรื่อง: สุภลััคน์วุฒิกรีธาชัย
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่