เป็นอีกปีทองที่ได้เปิดประสบการณ์ใหม่กับหลากหลายบทบาทท้าทายความสามารถของนักแสดงหนุ่มฮอต “มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง” เปิดตัวต้นปีด้วยบทบาทใหม่สุดว้าว!! กับการขึ้นแท่นผู้บริหารค่ายเพลงใหม่มาแรง “Be On Cloud Music” ประเดิมปล่อย เพลงแรกร่วมกับแสตมป์-อภิวัชร์ เพลง “ขาด” เมื่อต้นเดือน ม.ค. รวมทั้งเวอร์ชันของหนุ่ม “บั๊ม-ภวัต” เพลงประกอบซีรีส์เรื่อง “เพื่อน ตาย-DFF” ซึ่งมายขึ้นแท่น Executive Producer ในเพลงนี้ และยังพร้อมเดินหน้าปลุกปั้นงานในวงการเพลงอย่างจริงจัง!! รวมทั้งล่าสุดกับการได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะบทบาทไหน หนุ่ม “มาย” ก็พร้อมลุยเต็มที่แบบไม่ได้มาเล่นๆ!! เลยชวนมาเล่าเริ่มจาก...
บทบาทใหม่กับคำว่าผู้บริหารค่ายเพลง? “ทั้งตื่นเต้นและมีความอยากที่จะทำ ผมกับพี่ปอนด์-กฤษดา วิทยาขจรเดช ผู้บริหารค่าย Be On Cloud เป็นเพื่อนกันมาก่อน ตอนทำ KinnPorsche The Series เรา 2 คนมีความอยากที่จะทำอะไรใหม่ๆเหมือนกัน พอมันรันในพาร์ต KinnPorsche และโปรเจกต์อื่นๆ ผมเป็นคนที่ชอบดูคอนเสิร์ตและฟังเพลง พี่ปอนด์จริงๆเค้าทำคอนเสิร์ตขององค์กรใหญ่มาราวๆ 10ปี และบังเอิญเรามองตรงกันว่าอยากได้คอนเทนต์ใหม่ๆโชว์ใหม่ๆเลยมีจังหวะได้คุยกันและเรามีไอเดียเหมือน กันเรื่องการทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับเพลง มันเกิดจากแพชชัน จากสิ่งที่ชอบและอยากได้อะไรใหม่ๆ เหมือนกัน ครั้งนี้เป็น Be On Cloud Music หลายๆคนอาจจะเข้าใจว่ามันคือการซัพพอร์ตนักแสดงในค่าย ซึ่งจริงๆจุดประสงค์หลักไม่ใช่เลย มันคือการทำเพลงใหม่ ทำเพลงให้วงการเพลง ทำให้คนฟังเพลงจริงๆ”
...
ค่ายเพลงนี้มีสีสันเป็นแบบไหน? “มีไดนามิกสูง มีสีที่หลายเฉดเพราะเราไม่ได้จำกัดว่ามันต้องเป็นเพลงสนุก เพลงร็อก เพลงป๊อปหรือว่าเป็นเพลงฮิปฮอป เราต้องการอะไรที่มันหลากหลาย ทั้งพาร์ตเนอร์เองหรือคนที่ทำงานร่วมกัน” พร้อมปั้นเด็กหาศิลปินใหม่? “เป็นใน 3 แบบ หลักๆคือหาศิลปินที่เป็นศิลปินเดี่ยวหรือเป็นวงก็ได้ ที่มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนในตัวเค้าเอง อยากได้คนที่มีคาแรกเตอร์อยู่แล้ว อยากได้ศิลปินที่มีตัวตนมีอิสระในการทำงาน ถ้าเค้ามีตัวตนแล้วมาเจอกันน่าจะสนุก ได้เจออะไรใหม่ๆ”
จะเป็นคนใหม่เลยหรือว่าคนมีชั่วโมงบินอยู่แล้ว? “ได้หมด แต่ว่าคนที่มีชั่วโมงบินก็อาจจะมีบ้านอยู่แล้ว ศิลปินใหม่ๆก็เป็นจุดที่เราโฟกัสเป็นพิเศษ จริงๆศิลปินไทยนักร้องและนักดนตรีเก่งมากแต่ว่าอาจจะยังไม่เจอจังหวะที่ถูกซัพพอร์ตดีๆ” พร้อมเป็นผู้ให้โอกาส? “เรียกว่าร่วมโอกาส เรียกว่าให้ไม่ได้ เพราะการที่เราได้ทีมไหนหรือใครสักคนมา เค้าก็ให้เกียรติเราเหมือนกัน เรามาทำด้วยกัน ร่วมเอนจอย สร้างอะไรใหม่ๆด้วยกัน หรืออาจจะเป็นการคอลแล็ปกับศิลปินที่มีชั่วโมงบินเยอะอยู่แล้ว โดยปกติคนจะเข้าใจมันก็ต้องปล่อยศิลปินออกมาก่อน แต่อย่างที่ผมบอกว่ามันเป็นการ “เปิด” ไม่จำเป็นว่าการทำงานเราต้องแบบยึดว่าต้องมีศิลปินก่อนที่สำคัญมันต้องมีเพลง”
ศิลปินใหม่ต้องมีคาแรกเตอร์แบบไหนถึงจะ เป็นศิลปินที่ใช่สำหรับ Be On Cloud Music? “ตอนนี้บอกตามตรงอยากได้วงและเดี่ยวที่ไม่ใช่ทั้งชายทั้งหญิง ผมกับทางพี่ปอนด์ไม่ได้ถนัดอะไรที่เป็นเกิร์ลกรุ๊ป หรือบอยกรุ๊ป ภาพของการเป็นบีออนคลาวด์ที่เห็นผู้ชายเยอะๆมาเล่นซีรีส์ ทั้งวาย ทั้งแบบธรรมดามันคือพาร์ตของการทำงานแสดง มีองค์ประกอบคือบุคลิกหน้าตา แต่ว่าในพาร์ตการเป็นศิลปินเกี่ยวกับเพลง หน้าตามันแค่องค์ประกอบหนึ่งที่ไม่ใหญ่แต่เพอร์ฟอร์แมนซ์หรือฝีมือไอเดียการเขียนเพลงต่างๆนานาสำคัญกว่า รวมถึงเพศเราไม่จำกัด ถามว่าแบบที่จะโดน คงเป็นคนที่มีตัวตน มีความเป็นตัวของตัวเอง คนที่กล้าที่จะบอกว่าตัวเองเป็นอะไร ชอบอะไร และพอมาคุยกันว่าเค้าโอเคมั้ยกับ 1 2 3 4 ที่เราจำเป็นต้องมีร่วมกัน”
เราได้เอาทั้งทักษะทางดนตรีที่มีอยู่แล้ว และทักษะงานบริหารมาใช้ยังไงบ้าง? “ผมคิดว่ามันใช้ได้ในทุกแง่เลย รวมถึงพาร์ตที่เป็นนักแสดงก็ตามเพราะว่าจริงๆเสน่ห์ของการเป็นศิลปินที่ดีสักคนต่อให้เป็นเพลงหรือเป็นนักแสดงสิ่งที่มีเหมือนกันคือการสื่อสาร ต้องเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ถ้าถามว่าพอเรามีทักษะด้านดนตรีแล้วทำอะไรได้บ้าง แน่นอนเราก็รู้วิธีการในการทำงาน รู้ขั้นตอนว่าโปรดิวเซอร์คนนี้หรือ 1 2 3 4 มาประกอบแล้วน่าจะได้ภาพ แบบนี้ ในเรื่องของการบริหารจัดการก็ต้องทำก็ให้มันแข็งแรงด้วย”
ถือเป็นบทบาทที่ยากมั้ย? “ยากครับ จุดที่ยากที่สุดคือการประกอบร่างทีมแล้วก็การหาศิลปินที่ใช่ ตอนนี้ก็เปิดรับหมดเลยว่าถ้าตอนนี้ใครที่บังเอิญได้ยินหรือมีเพื่อนอยากทำก็สมัครเข้ามาได้” กับบทบาทนี้ให้เวลาทุ่มเทแค่ไหน? “ผมก็อัปเดตเพลงตลอด แต่ต้องยอมรับว่ามันเยอะมาก สิ่งที่โฟกัสเพิ่มคือดูตลาดเยอะขึ้น พอเราเข้าใจเราจะเห็น Mapping ว่าอย่างไหนน่าจะเวิร์ก เสพเยอะขึ้นทั้งเบื้องหน้าที่เป็นเพลงและวิธีคิด”
...
พอมีคำว่าผู้บริหารเรื่องการตัดสินใจอะไรต่างๆเยอะขึ้น เป็นไงบ้าง? “ก็ดีขึ้นครับ เสียเวลาน้อยลงในการตัดสินใจแต่งานก็จะเยอะขึ้น มันยังไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ยังอยู่ในช่วงประกอบร่างจริงๆ แต่เรามีคอนเซปต์อย่างนี้ เราเปรียบเทียบเป็นเหมือนหมาตัวเล็กกับหมาตัวใหญ่ การเป็นหมาตัวเล็กโอกาสในการเติบโตมันเยอะกว่า สูงกว่า แล้วระยะในการเติบโตถ้ามันโต จะโตไวมาก อันนี้คือข้อดี ถ้าเรามามองในการประกอบร่างตรงนี้ ค่ายใหญ่มันจะต้องผ่าน 1 2 3 4 5 6 ค่ายเล็กคือถ้าทำแล้วใช่เจอ ไปต่อ เปรียบเหมือนตอนบีออนคลาวด์ตอนแรกที่พอเราเป็นหมาตัวเล็ก ทำอะไรก็พุ่งไปได้เร็ว”
ความคาดหวังของเรา? “ผมอาจจะคาดหวังในเรื่องที่ค่อนข้างจะเบสิกนิดนึงว่าจะได้ผลิตงานที่ดีให้คนฟัง ทั้งที่เป็นแฟนๆเราอยู่แล้วและคนนอกวงโคจรของแฟนๆ ทั้งกลุ่มคนฟังเพลงทั่วไป ผมรู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งคนที่หลงใหลในวงการเพลงมากตั้งแต่เด็ก เรารู้สึกว่าในมุมของผู้บริโภคการได้เห็นผลงานใหม่ๆจะค่ายไหนก็ตาม มันคือตัวเลือกที่เราสามารถทำให้พวกเค้าได้ ถ้าเราผลิตคนที่เป็นศิลปินดีๆออกมาได้ ศิลปินเองก็มีความสุข ถ้าทำให้เค้าได้เจอกัน เราเองก็เอนจอยไปพร้อมๆกัน ตัวผมเองก็พยายามจะให้มันแข็งแรง อยากทำยาวๆ”
...
กับบทบาทนี้เราต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะมั้ย? “ไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง ผมว่าการได้ลงมือทำอะไร มายด์เซตผม ณ เวลานี้ อายุเท่านี้ มันคือกำไรหมด เราไม่มีความจำเป็นต้องยึดติดอะไรที่เป็นการพิสูจน์ตัวเอง แต่สิ่งที่ควรจะทำคือ ทำแล้วเกิดอะไรใหม่ๆในสิ่งที่เราอยากทำ” เราคิดว่ามันเป็นกำไรแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่? “ตั้งแต่ทีมรู้สึกว่าอยากจะทำแล้ว ทุกคนที่มีแพชชันที่อยู่ในทีม เค้าก็จะเปิดใจเวลางานอะไรต่างๆน้ำหนักของความเป็นดนตรีหรือการสร้างดนตรีมันจะเยอะขึ้น ผมมองว่ามันไม่ใช่การพิสูจน์ มองว่ามันคือการสร้างแต่ว่ามันจะเวิร์กไม่เวิร์ก มันพิสูจน์ด้วยตัวของคนฟังและสิ่งที่จะเกิดใหม่ๆครับ”
มายเป็นบอสที่ดุมั้ย? “ผมไม่ดุนะ ยังไม่มีความดุอะไร ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้สถาน การณ์เครียด แต่ผมจริงๆเป็นคนดุนะ ผมประนีประนอมกับการเลือกมาทำงานที่เป็นบันเทิงอยู่แล้ว มันต้องเจอ มันต้องฟังเยอะ มันต้องเข้าใจคนอื่นเยอะ มันอาจจะต่างกับงานที่บ้านที่เราเคยทำ อันนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าหน้าที่ใครหน้าที่ใหม่ที่ชัดเจน แล้วแต่หน้าที่ไปครับ” แล้วภาพของมายเป็นศิลปินเองล่ะ? “จริงๆมีแพลน อยู่แต่ว่าที่ใกล้ที่สุดคงเป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวของผมช่วงกลางปี ผมรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรที่สนุกๆ อันนี้ในฐานของเป็นแฟนๆ เราที่รู้จักเราอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรที่เคยเห็นมามันจะถูกเพิ่ม ถูกทำให้เซอร์ไพรส์อะไรที่ทำให้รู้สึกสนุก จั๊กจี๋ ให้ครบรส”
คาดว่าเราก็จะได้เห็นอะไรในปีนี้? “น่าจะเป็นศิลปินของค่ายและการทำ Music Score ของซีรีส์ที่เราทำเรื่องชาย (Shine) หรือเรื่องอื่นด้วยก็ต้องดูความเหมาะสม” แพลนงานด้านอื่นของมายล่ะ? “โปรเจกต์อื่นก็เยอะมากครับ การทำคอนเสิร์ต ซีรีส์หรือค่ายเพลงถ้าจะทำออกมาให้ดีก็ถือว่าต้องให้เวลาเยอะมาก จริงๆที่จะบอกคือมันมีโปรเจกต์ที่สำคัญที่จะ Launch ในปีนี้ สำหรับของผมและของค่าย ผมคิดในมุมของถ้าเราเป็นผู้เสพเป็นคนดูหรือคนรู้จักเรา ผมว่าผมกรี๊ดนะ ผมไม่ได้กรี๊ดเพราะผมกระหายที่จะทำ แต่ผมกรี๊ดเพราะผมกระหายที่จะดู เราก็อยากทำให้ดี เป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ มันจะได้มีอะไรเจ๋งๆให้คนได้เลือกเสพ”
...
แปลว่าปีนี้มีก้าวใหม่ๆเยอะเหมือนกัน? “สำหรับผมถือว่าเยอะ แล้วตอนนี้มันมีเรื่องของแบรนด์ที่เราทำงานร่วมกันที่ต่างประเทศและมีแบรนด์ใหม่ๆ ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้ทำงานกับแบรนด์ต่างประเทศ วิธีการต่างๆมันมีความซับซ้อนต่างกัน แต่ละทีมก็ต่างกัน แต่ทุกอันมันเป็นอะไรที่เป็นประสบ การณ์ที่ดีสำหรับการเอามาปรับใช้ในองค์กรของเรา เหมือนเราได้ไปเรียนรู้งานผ่านการทำงานฟรอนต์แมน มันสนุกดี และช่วยได้เยอะ ได้เจอคนเยอะ เจอศิลปินต่างชาติเยอะ” จริงๆยังมีงานอะไรที่ทำให้มายตื่นเต้นลุ้นว่าจะทำได้มั้ย? “ถ้าถามว่างานอะไรที่ทำให้ผมกังวลเหรอ ความจริงผมไม่ค่อยชอบถ่ายแบบ ผมชอบแฟชั่นนะแต่ไม่ค่อยชอบถ่ายแบบ รู้สึกไม่ถนัด เราคิดว่าเราไม่ได้มีพรสวรรค์เรื่องนี้แต่สุดท้ายพอเราเลือกทำและเราได้โอกาสที่พรีเซนต์ตรงนั้น แน่นอนเราไม่ได้ปล่อยมัน พอเรารู้ว่าเราไม่ถนัด เราก็ทำการบ้านแล้วก็เตรียมตัวเยอะขึ้น ทุกอย่างมันต้องซ้อมหมด ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายแบบ การเล่นดนตรี การแอ็กติ้ง ทุกอย่างมันคือทักษะที่ใช้ร่างกายทั้งหมด มันต้องซ้อม”
เปิดโอกาสใหม่ๆทางแฟชั่นปีนี้ก็บินเยอะเหมือนเดิม? “จริงๆผมจั่วหัว Year Plan ของตัวเองไปแล้วว่าเราจะแชร์เวลาที่ไทยกับเวลาที่ต่างประเทศให้มันบาลานซ์กว่าเดิม เพราะปีที่แล้วไปต่างประเทศเยอะ ปีที่แล้วเนี่ยบินไปเกือบทุกเดือน ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ แล้วมันจะมีช่วงมันถี่ๆที่บินไปโปรโมตหนังแมนสรวง แล้วก็ไปชนกับงานพรมแดง งานอีเวนต์ที่เราก็เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์อื่นของฝั่งจีน มันจะมีช่วงไตรมาส 3 บินตลอด 2 เดือนครึ่ง แต่ตอนนั้นมันเป็น 2 เดือนครึ่งที่ได้ประสบการณ์ ได้เจอคนแล้วก็ได้รู้จักตัวเองในมุมที่ว่าถ้ามันยุ่งสุดขีดในฐานะฟรอนต์แมน เรารู้สึกยังไง ชอบหรือไม่ชอบ เราสัมผัส ตรงนั้นแล้วเรากลับเอามาทำให้คนอื่น ต้องเข้าใจเค้าด้วย ปีนี้ก็บินเป็นช่วงๆ น่าจะอยู่ไทยเยอะขึ้น มีคอนเสิร์ตด้วย และถ่ายซีรีส์ชายเดือน 7 โฟกัสงานตอนนี้คือคอนเสิร์ตเดี่ยวและการทำค่ายเพลง อยากให้แฟนๆได้เห็นอีเวนต์ ทั้งอีเวนต์ปิดและเปิด”
Year’s solution ปีนี้เปลี่ยนไปมั้ย ให้เวลากับอะไร? “ถ้าพูดถึงพาร์ตงานก็อยากให้งานในไทยกับต่างชาติบาลานซ์กัน ถ้าพูดถึงเรื่องชีวิตกับงาน ก็อยากให้เรื่องครอบครัวยังคงอยู่ กับเรื่องเวลาของตัวเอง ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะ คิดงานใหม่ๆ ไปในที่ใหม่ๆคนเดียวแล้วจะได้ค้นพบอะไรที่มันอยู่นอกกรอบ ผมเป็นคนอย่างนั้นครับ ที่ผ่านมาได้ใช้เวลาแบบนั้นน้อยแต่ว่ามันก็จะได้รับประสบการณ์อย่างอื่นแทนเพราะว่ามันจะเป็นการเพอร์ฟอร์ม แต่การสร้างไอเดียใหม่ๆ มันคือการหยุดนิ่งแล้วเสพ แล้วคิด ก็บาลานซ์เยอะขึ้นครอบครัว ตัวเอง งาน แต่สุดท้ายจุดมุ่งหมายมันก็คืองาน ส่วนครอบครัวมันเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญตั้งแต่เด็กๆ เด็กๆเราเป็นคนเกเร เรากลับบ้านน้อย เราจะให้ที่บ้านมาหาแทน เราเห็นว่าเวลาในสิ่งที่มีค่าเราก็ควรจะแบ่งให้คนที่เรารัก ในเรื่องนี้ก็คือครอบครัว ในเรื่องงานก็คือแฟนๆ หรือว่าสิ่งที่เรารักเช่นกันก็คือตัวเราและงาน มันก็วนอยู่แค่นี้แหละครับในช่วงปีนี้ ก็ขอให้ทุกอย่างออกมาดี แต่การทำงานสนุกขึ้นเรื่อยๆ เราไปเมืองนอกแล้วไปออกงาน 1 ครั้ง บางคนอาจจะไม่ได้เห็นเบื้องหลัง เราจะเห็นภาพปุ๊บไปแฟชั่นโชว์ แต่ระหว่างทางการเตรียมตัวของทีมงาน หลายสิ่งหลายอย่างมันแน่นไปหมด การได้ไปเจอ ไปคุยดีลก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะความสำเร็จที่ผ่านมา ยกเครดิตให้ตัวเราคนเดียวไม่ได้ ต้องยกเครดิตให้ทั้งเรา บีออนคลาวด์ ทีมแบรนด์ต่างๆ รวมถึงแฟนคลับที่ช่วยกัน มันเป็นเรื่องที่ไปด้วยกัน มันคือประสบการณ์ร่วม”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่