ห่างหายจากวงการไปนาน สำหรับ อาฉี เสียงหล่อ เจ้าของวลีเด็ด "บัดซบจังเลย" ที่ถ้าย้อนกลับไปเขาเป็นหนึ่งในตองอูตลกคาเฟ่ชื่อดัง แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป คาเฟ่เริ่มหาย อาชีพตลกก็จางไปด้วย จนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเจ้ามีข่าวว่าบ้านรถโดนยึด ซึ่งเจ้าตัวก็ออกมาชี้แจงแล้ว ล่าสุดมาออกรายการ คุยแซ่บโชว์ เผยความรู้สึกหลังธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ พร้อมเล่าย้อนกลับไปกว่าจะมาเป็นตลก เพราะด้วยความเมา

มาเป็นตลกได้ไง?

“จะเรียกว่าโชคช่วย หรือเรื่องบังเอิญ ไม่ทราบได้ คิดว่าเป็นพรหมลิขิตส่งให้เราเป็นแบบนี้ เป็นโชคชะตา ความใกล้ชิด จากเด็กเสิร์ฟที่ใกล้ชิดกับวงการตลก มันไม่ได้สวยหรู มันเริ่มจากความลำบาก เราใกล้กับคนเล่นตลก เราไปแอบดู เล่นตามพี่ๆ เขา เริ่มจากเรามึนๆ เมาๆ ขึ้นไปเล่นบนเวที ขำไม่จำไม่รู้ มีคนถามว่ามึงเล่นตลกได้เหรอ เราตอบกลับไปว่า พี่พาผมมา ผมก็ต้องเล่นได้ซิ เขาชวนไปเล่นที่งานผ้าป่า จากนั้นก็ไปเรื่อย”

เล่นแรกๆ เป็นไงบ้าง?

“ไม่รู้ว่าเล่นตัวว่าเล่นตลกหรอก เพราะชอบร้องเพลง ส่วนคำพูดว่าตลกนอกสายตา ซึ่งตอนนั้น มันยังไม่ดัง มันก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนมาพูดแบบนี้ ถ้าไม่ดัง มันก็นอกสายตาอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเขาไม่ชอบเรา เขาไม่เต็มใจจะร่วมงานกับเรา พอเราไม่ขำ ไม่ถูกใจเขา เรามันก็นอกสายตาอยู่แล้ว และเราเป็นตลกตอนนั้น พอคนดูไม่ขำ ทำให้แขกเขาเครียดจะมีปัญหาแบบนี้ เราก็ถอยดีกว่า มันเป็นเหตุการณ์ในคาเฟ่”

...

ทำไมเราคิดว่าเราเป็นนอกสายตา เพราะตลกก็ต้องเล่นไปด้วยกัน?

“คำว่านอกสายตา ไม่เกี่ยวกับคนดูนะ เกี่ยวกับเพื่อนฝูง ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าเพื่อนฝูงไม่เคยสนับสนุนผมเลย มีแต่ไล่ออก ตอนนั้นเราเล่นตลกไม่เป็น เขาไม่ได้อิจฉาเรานะ แต่ตอนนั้นเราเล่นไม่ได้ เขาจะเอาเราไว้ทำไม แต่เราไม่ยอมรับนะ กับการที่เขาว่าเรา เพราะเรายังอยากเล่นอยู่ ผมยังไม่ได้โชว์เลย แต่คุณตีตราไปแล้วว่าเราเล่นไม่ขำ”

มุกไม่ขำ มันคืออะไร?

“มันไม่ธรรมชาติ คนฟังไม่สนุก ดัดจริตเวลาเล่น มันก็ไม่ขำ มันต้องเล่นด้วยสัญชาตญาณของตัวเราเอง ไปบังคับขำมันก็ไม่ได้ด้วย”

ตลกมันคือพรสวรรค์?

“มันคือพรสวรรค์ บวกกับ พรแสวงด้วย แต่คนที่ไม่ตลก ก็ไปเรียนความเป็นตลกได้ มันอยู่ที่การเรียนรู้ ถ้าใจคุณชอบซะอย่าง อีกอย่างผมไม่ใช่ เชิญยิ้ม ผมคืออาฉี เสียงหล่อ ผมเคยไปขอพี่เป็ดใช้เชิญยิ้ม แต่พี่เป็ดไม่ให้ผม ตอนนั้นไปขอที่รายการก่อนบ่ายคลายเครียด เขาก็บอกว่ามึงอาฉี เสียงหล่อดีแล้ว มันเป็นเอกลักษณ์ของเรา”

หายไปไหนมา?

“เขาไม่จ้าง เพราะเราดื้อในมุมของเรา เราไปทำธุรกิจของเรา แบ่งเวลาไม่ถูก ในการจัดการเราไม่ถนัด ปัญหานักแสดงที่มีปัญหาคือผู้จัดการ การจัดคิว เราเลยมาจัดการเอง แต่มีปัญหาเยอะ คิดเรื่องการแสดง การจัดคิวตัวเอง ไม่มีใคร 100% หรอก และที่เราหายไป เราไม่ยึดติดมันเป็นเรื่องของวัฏจักร”

หรือเพราะดังจนไม่รับงาน จนฉีกตัวออกมา?

“ผมไม่ทราบ ไม่เอ่ยถึงบุคคลที่สาม เราตีโจทย์ชีวิตเราเองว่าเราทำอะไรอยู่ เราเป็นอะไรก็ได้ ไม่มีคำว่าสุดยอดหรือว่าดีที่สุด แต่ก็มีน้อยใจในโชคชะตา เพราะเราเป็นมนุษย์ ผู้ใหญ่ไม่สนับสนุน แต่เราก็ปล่อยวาง”

เลยผันตัวไปเป็นพ่อค้า?

“ไม่ได้ผันไปไหน ยังรับงานอยู่ แต่ที่ขายลาบเพราะเราเป็นคนอีสานด้วย เปิดที่บางใหญ่และราชบุรี เปิดในช่วงโควิดตอนนี้รายได้ก็อยู่ได้ ส่วนมีข่าวว่าจะโดนยึดบ้านยึดรถ ไม่ได้ยึดในช่วงโควิด มันจะโดนยึดมาตั้งนานแล้ว โควิดมันแค่อดอยากเฉยๆ มันชักหน้าไม่ถึงหลัง พอโควิดมันก็เกิดหนี้สิน แค่หลักแสน แต่ก็ไม่หนักอะไรมาก เพราะตอนนั้นเงินไม่เหลือเลย ยืมคนอื่นบ้าง เราพกตังค์ไม่ได้ เพราะช่วงที่เรามีก็ใจใหญ่ ดื่มกินเราก็แบ่งปันเพื่อนๆ”

ตอนยึดบ้าน ยึดรถ ตอนนั้นรู้สึกยังไง?

“มันก็มีเสียใจ ทำไมชีวิตเราเดินไม่สุด แต่เวลาจะบอกเราเอง ได้กับไม่ได้ มันคือเท่ากัน เพราะแม่ที่บ้านบอกอย่าไปหวังมันเยอะ เพราะเรามา เราไม่มีอยู่แล้ว ถ้าไป มันไม่มีอะไร ก็ไม่แปลก เพราะสถานการณ์ตอนนั้นที่โดนยึดบ้าน ตอนนั้นที่เราดังๆ ค่าของเงินมันไม่เหมือนกัน แต่พอผ่านมา ค่าใช้จ่ายมันเปลี่ยนแปลงไป ยุคเวลามันเปลี่ยนไป เราปรับสภาพไม่ทัน เราใช้ไปเรื่อยๆ ไม่ปรับระบบ โทษใครไม่ได้ ก็โทษตัวเอง ผมอาจจะฟุ้งเฟ้อเกินไป ผมติดแบรนด์เสื้อผ้าเราเป็นเจ้าพ่อ แต่พอหลังๆ ถามตัวตนของเราอยู่ตรงไหน ตอนนี้ผ้าขาวม้าผืนเดียวพอ ซึ่งเรามารู้ตัวก็ตอนลำบาก ต้องหมดก่อน”

...

พอมาทำธุรกิจล่ะ?

“มันก็ไม่โอเค เราจัดการบริหารไม่ค่อยเก่ง เราคัดสรรคนไม่ถูก ตอนนั้นเราขายยาสมุนไพรที่เอาถั่งเช่ามาทำ แต่อย่าเรียกว่าไปไม่รอด เรียกว่าไม่อยากทำต่อ ไปไม่รอด มันดูท้อแท้”

ที่ผ่านมาเจอแต่ปัญหา เราเคยคิดสั้นไหม?

“มันก็มีน้อยใจ แต่ว่าพอนึกถึงหน้าเมียหน้าลูก มันก็ไม่กล้าแหละ คิดสั้นมันก็มีบ้าง แต่ถึงกับฆ่าตัวตายนะ มันท้อ มันอยากหยุดทำ และที่ต้องกลับมาเพราะความรับผิดชอบที่เราต้องทำ มันฉุกคิด

เรื่องเฉียดตาย?

“เราขับรถอยู่บ่อยๆ ในเรื่องอุบัติเหตุ มาจากประจวบฯ ตอนเช้าขับมาปกติ แต่ฝนมันตก เรามองถนนไม่ชัดเจน เห็นข้างหน้า ไม่เกิน 3 เมตร มันเบรกไม่ทัน เห็นรถชะลออยู่ข้างหน้า เปิดไฟกะพริบอยู่ แต่มันหยุดไม่ทัน มันใกล้มาก ชนดังโครม มองไม่เห็นถนน รถลอยเห็นแต่ฟ้า แล้วก็ตกลงทุ่งผักบุ้งข้างทาง ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าจะอยู่หรือไป เพราะรถมันลอยไป ข้างหน้ากระจกแตก ข้างหลังยุบ คนมายืนมุง เราคาที่พวงมาลัย ผักบุ้งเต็มหน้า (หัวเราะ) แต่ระบม คอเอี่ยวไม่ได้ และสภาพรถไม่น่าจะรอด”.

...