- จากเด็กขี้อายมาเป็นพิธีกรรายการเพลง เพราะอยากเก็บเงินซื้อกล้อง ไม่รบกวนเงินพ่อแม่
- ไม่คิดฝันจะเป็นนักแสดงเพราะไกลตัวมาก แต่ทำโอกาสที่ได้รับอย่างเต็มที่
- ตามหาบ้านหลังใหม่แต่ยังไม่ลงตัว ตั้งใจใช้ชีวิตให้สมดุลมากขึ้น รักษาคนที่ดีในชีวิตไว้
โด่งดังเป็นนักแสดงหนุ่มฮอตแถวหน้าอีกคนของเมืองไทย สำหรับ เต ตะวัน วิหครัตน์ นักแสดงจากซีรีส์ดัง Room Alone ก่อนจะร่วมแสดง Kiss the Series รักต้องจูบ, Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริง, Secret Seven เธอคนเหงากับเขาทั้งเจ็ด ฯลฯ จนเกิดกระแสคู่จิ้นระหว่างเตกับนักแสดงหนุ่ม นิว ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ กลายเป็นคู่นักแสดงซีรีส์ที่มีแฟนคลับติดตามผลงานเป็นจำนวนมาก และล่าสุดกับผลงานที่เพิ่งจบไปอย่าง "TANMAN แทนแมนทำแทนได้" ทาง TrueID ที่แสดงคู่กับนางเอกสาว มะปราง อลิสา ขุนแขวง
แต่ว่ากว่าจะมาเป็นนักแสดงชื่อดัง หนุ่มคนนี้เคยเป็นเด็กน้อยขี้อายที่แม้กระทั่งไปยืนหน้าชั้นเรียนก็ยังตัวสั่น ก่อนจะเริ่มเข้าวงการบันเทิงในฐานะพิธีกรรายการ Five Live Fresh และติด 1 ใน 50 หนุ่มโสดคลีโอปี 2557 ซึ่งในช่วงแรกที่เข้าวงการ เจ้าตัวแค่อยากทำงานเก็บเงินซื้อกล้อง แต่สุดท้ายกลายเป็นอาชีพที่เขาไม่คาดคิดว่าจะทำให้เขาเติบโตและมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนหนุ่มคนนี้มาย้อนวันวานของเขาให้ฟังกัน
...
เข้าวงการเพราะอยากเก็บเงินซื้อกล้อง
เราเริ่มต้นการสนทนาด้วยการให้ เต ตะวัน เล่าถึงวันแรกในวงการบันเทิง ถามว่าเข้ามาได้ยังไง เขาเล่าว่า “ก็ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการจากการแคสต์เป็นพิธีกรรายการ Five Live Fresh เป็นรายการเพลง ซึ่งเป็นรายการสดด้วย ตอนนั้นเป็นหนึ่งในสมาชิก Five Live จากทั้งหมด 6 คนครับ นานมากๆ น่าจะเกือบ 10 ปีมั้ง ตอนนั้นผมเรียนมหาวิทยาลัยปี 2-3 ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นอาชีพหลักด้วยซ้ำ คือเป็นคนชอบถ่ายรูป ชอบการท่องเที่ยว อยากเก็บเงินซื้อกล้องเอง เลยมาทำงานหารายได้ คือไม่อยากขอเงินพ่อแม่เยอะ อยากเก็บเงินไปเอง พอมีโอกาสได้ทำงานก็ลองทำดู เลยตัดสินใจมาเป็นพิธีกรครับ
ทั้งๆ ที่จริงตอนแรกรู้สึกว่าโห...มันยากสำหรับเรามาก ตอนนั้นไม่ค่อยรู้จักวงการเท่าไร เพลงก็ไม่ค่อยฟัง เข้ามาด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องเริ่มต้นใหม่หมด สคริปต์ก็ต้องอ่าน ต้องทำความรู้จักพี่ๆ ศิลปินนักร้องที่เราต้องพูดถึง ต้องเตรียมตัวเยอะกว่าคนอื่น เพราะตอนเด็กๆ เราดูแต่การ์ตูน สารคดี ไม่ค่อยดูอะไรแนวนี้เท่าไร ก็นานมากๆ กว่าจะปรับตัวได้ ด้วยความที่ธรรมชาติเราไม่ใช่แนวนี้ด้วยไง กว่าจะกล้าพูดอย่างมั่นใจก็ใช้เวลานานจริงๆ ครับ กว่าจะกล้าเป็นตัวเองต่อหน้าคนโดยไม่เขินมันใช้เวลามากๆ สำหรับผม”
เมื่อถามถึงฟีดแบ็กตอนที่เป็นพิธีกรในเวลานั้นว่าเป็นยังไง เตบอกว่า “เราไปทำเงียบๆ กับที่บ้านก็ไม่ได้บอก กับเพื่อนก็ไม่บอก กระทั่งกับคุณย่าที่เราสนิทสุดก็ไม่ได้บอก คือเขาเห็นเราเป็นเด็กเรียนแล้วอยู่ดีๆ ไปทำ เราเลยไม่คิดจะบอกให้ใครรู้เลย ก็มีแม่ที่รู้นิดนึงว่ามาทำ แต่เราไม่ได้บอกแม่ว่าออนเวลาไหนเพราะกลัวคุณแม่จะดูด้วยซ้ำ ไม่อยากให้ใครตามดู เราอาย เพื่อนที่มหาวิทยาลัยเราก็ไม่ได้บอกรายละเอียดเพราะกลัวเขารู้แล้วไปดู แต่สักพักเพื่อนก็ไปเจอจนได้ในยูทูบ จำได้ว่ามีเพื่อนไปเปิดดูที่ห้องสมุดที่เศรษฐศาสตร์ เราอายมาก (หัวเราะ)”
จากพิธีกรสู่นักแสดง
ถึงแม้เตบอกว่าจะรู้สึกเขินในการเป็นพิธีกร และไม่คิดว่าจะมาทำงานวงการบันเทิงเป็นอาชีพหลัก แต่สุดท้ายก็รันวงการมาหลายปีแล้ว เตบอกว่าอยู่มานานแล้ว แต่เปลี่ยนหน้ากากไปเรื่อยๆ ซึ่งเขาเล่าว่า “ตอนแรกคิดว่าเป็นพิธีกรเต็มตัว พอสุดท้ายค่ายเราเปลี่ยนทิศทางบริษัท จากรายการเพลง เขาก็ลองมาทำซีรีส์ดู ซีรีส์เรื่องแรกเขาก็เอานักแสดงวัยรุ่นที่เล่นด้วยกันอยู่แล้วมาเล่นก่อน แล้วให้เราเป็นตัวสมทบ เพราะเราเป็นพิธีกร เราไม่รู้ว่าจะแสดงยังไง เขาก็ให้เล่นสมทบไปก่อน
จนกระทั่งพอเรื่องที่ 3-4 ก็เริ่มได้บทมากขึ้น เราก็ค่อยๆ ลองทำมาเรื่อยๆ เราเข้ามาก็ปรับตัวไปกับบริษัท ลองทำพร้อมบริษัท ก็จะมีเจนฯ ผมที่บุกเบิกมาพร้อมบริษัท จะมีเต ออฟ (จุมพล อดุลกิตติพร) นิว (ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ) 3 คนที่มาในเวย์งงๆ ตั้งแต่แรกที่โตไปพร้อมกับบริษัทด้วยกัน แต่วันแรกที่เราเป็นพิธีกร การเป็นนักแสดงคือไกลตัวมาก เวลาเราสัมภาษณ์คนนั้นคนนี้ที่เป็นนักร้อง ก็ไม่คิดว่าวันนึงเรามายืนร้องเพลงแล้วมีคนมองดูเราอยู่ข้างล่าง มันก็เป็นการเดินทางที่ยาวนานสำหรับเรา”
...
พอย้อนถามถึงวันแรกที่มาเป็นนักแสดงว่าเป็นยังไง เตเล่าว่า “ตอนนั้นการแสดงก็ไม่ได้เรียน เพราะทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้น โปรดักชันของค่ายก็ยังเล็กๆ ไม่ได้มีการส่งเรียนแอ็กติ้ง เวิร์คช็อป อยู่ดีๆ ก็เข้าไปลุยกันตรงนั้น จำได้ว่าไปยืนในฉากแล้วเราไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ไหน (หัวเราะ) ไม่รู้อะไรสักอย่าง ยังจำบรรยากาศตรงนั้นได้อยู่เลย ยืนกลางแดดในทุ่งรกร้างที่นึง ร้อนก็ร้อน บทก็จำไม่ค่อยได้ มือก็ไม่รู้จะเอาไว้ที่ไหน แล้วเป็นซีนดราม่าด้วย (หัวเราะ) เราก็เครียดเรื่องบท หลายอย่างมาก พอเรื่องต่อมาก็โตตามระยะเวลาที่เราทำงาน คืออาจจะไม่เหมือนคนอื่น หลายคนที่มาตรงนี้เขาเรียนมาและใช้ แต่ของผมการเรียนก็คือทำจริงไปเลย เหมือนเราเรียนรู้จากประสบการณ์มา”
โอกาสที่ได้รับจากนักแสดง
แต่เมื่อเตเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากซีรีส์ Room Alone 1-2 รวมไปถึง Kiss the Series รักต้องจูบ, Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริง ฯลฯ และได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ จนกลายเป็นนักแสดงชื่อดังอีกคนในวงการบันเทิง เตบอกว่าขอบคุณทุกคนด้วย ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีโอกาสอยู่และทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมีแฟนๆ ที่ซัพพอร์ตเรา คอยคอมเมนต์สนับสนุน ทำให้เรามีแรงใจที่จะทำ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะอยู่ตรงนี้ได้เลย พอมีคนซัพพอร์ตทำให้เราเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น จึงพร้อมที่จะเดินไปในเส้นทางนี้มากขึ้น
...
ส่วนกระแสคู่จิ้น เต-นิว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นกระแสให้แฟนๆ พูดถึงได้ตลอด เตบอกว่า “เราทำพิธีกรมาด้วยกันตั้งแต่แรก และมาเล่นบทแรกเป็นบทคู่เพื่อน และพัฒนาเป็นบทคู่รอง และเริ่มเป็นคู่หลัก เหมือนค่อยๆ เดินมา เราไม่ได้กระโดดข้ามมาเลย เราเลยไม่ได้มีจุดที่เรารู้สึกว่าช็อก ไม่เคยเห็น เราเหมือนค่อยๆ มีทีละนิดละหน่อย เราเลยไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก คือค่อยๆ ปรับตัวในช่วงเวลาทุกวันอยู่แล้ว เราไม่ได้มีกระแสเปรี้ยงปร้างอะไรแบบนั้นครับ”
ถามว่าจากกระแสตรงนี้ทำให้มีงานเข้ามามากขึ้นไหม นักแสดงหนุ่มตอบว่า ก็มีโอกาสที่ทำให้เราได้ทำงานหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่จะมาทำงานพิธีกรอย่างเดียว พอมาเล่นซีรีส์และมีกระแสตอบรับที่ดี มีแฟนๆ คอยสนับสนุน เราได้มีโอกาสทำคอนเสิร์ต แฟนมีตติ้ง ร้องเพลงประกอบซีรีส์ ได้ทำหลายอย่างมากๆ มีโอกาสที่เราไม่เคยทำและไม่คิดว่าจะได้ทำ เรียกว่าการเป็นนักแสดงทำให้เปิดโอกาสตรงนี้
กับคำถามว่านอกจากงานแสดงชอบงานอะไรที่สุด เตนิ่งคิดก่อนตอบ “การร้องเพลงก็สนุกดี ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะร้องได้ เพราะตอนเด็กๆ เวลาเพื่อนหรือใครชวนไปร้องคาราโอเกะก็ไม่เอาไม่ไป หรือใครยื่นไมค์มาก็จะกลัวและไม่เอาเลย จำได้เลยว่าพี่สาวชอบไปร้องคาราโอเกะ ซึ่งบางทีเราต้องไปกับครอบครัว ก็จะถอนหายใจแล้ว ไปก็ไปนั่งเฉยๆ ถ้าไปกับพี่สาว ไม่มีใครบังคับให้เราร้อง เราก็รู้สึกเบื่อมาก เหมือนไปนั่งฟังเขาร้องเฉยๆ แต่เดี๋ยวนี้สามารถนัดเพื่อนไปร้องเองได้แล้ว (หัวเราะ) ก็แปลกดีเหมือนกันครับ”
...
หนุ่ม Introvert
เตเล่าว่าเคยมีช่วงหนึ่งในชีวิตที่รู้สึกว่าหลงทาง โดยบอกว่า “ผมรู้สึกว่าเหมือนผมหลงทาง เครียดอยู่หลายช่วงมากๆ รู้สึกว่าทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองแล้วมันดีเหรอ คิดอย่างนี้อยู่นานมาก จนถึงตอนนี้ผมรู้สึกดีนะที่ได้เข้ามาทำงานตรงนี้ เพราะมันพัฒนาในมุมที่เป็นจุดบอดของเรามาตลอด ตั้งแต่เด็กคืออะไรก็ตามที่อยู่ท่ามกลางผู้คน เป็นที่จับจ้อง เราจะรู้สึกว่ามันเป็นจุดบอดของเรามากๆ แค่ออกไปยืนก็ตัวสั่น กลัวจนไม่กล้าทำอะไร จนวันนี้เราสามารถออกมายืนพูดหรือร้องเพลงต่อหน้าคนได้แล้ว มันเป็นเส้นทางที่ไกลมาก
อันนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ คือนึกย้อนไปตอนประถม เวลาครูอยากจะให้ออกมาตอบ เพราะเราเป็นเด็กเรียน ขนาดเป็นเรื่องที่เรารู้เราทำได้ เรายังไม่กล้าออกมาเลย พอให้ออกมาข้างหน้าคือตัวสั่น ทำไม่ได้ ไม่ชอบให้ใครมายืนมองจ้องเรา จนถึงวันนี้เราสามารถยืนบนคอนเสิร์ตได้ ผมว่าได้พัฒนาตัวเองในหลายมุมเหมือนกัน
ที่ตอนนั้นเครียดเป็นเพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยวว่านี่คืออาชีพที่เราจะเลือกทำจริงๆ หรือเปล่า จะต้องปักหลักอยู่หรือเปล่า จะออกก็รู้สึกว่าเราเริ่มมาเท่านี้แล้ว มันก็รู้สึกเสียดายสิ่งที่เราพยายามมา จะทำต่อก็รู้สึกว่าเราไม่ได้มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เหมือนคนอื่นๆ หรือคิดว่าไปทำด้านที่เราเก่งดีกว่าไหม จะมีความคิดตรงนี้ตีกันไปมา จนสุดท้ายผมรู้สึกว่าจริงๆ หลายๆ เรื่องเราสามารถเอาสิ่งที่เราเก่งหรือถนัดเอามาเป็นจุดเด่นของเราในวงการก็ได้ ก็เลยรู้สึกว่าเออ งั้นเราอยู่ต่อดีกว่าครับ”
กับความเป็นหนุ่ม Introvert มาก่อน พอมาถึงวันนี้รู้สึกปลดล็อกขึ้นหรือไม่ เตบอกว่า “มันไม่เชิงปลดล็อก แต่ทำให้เรารับมือกับสิ่งที่เราต้องเจอ รับมือกับชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นมากๆ แต่ก่อนถ้ารู้ว่าวันไหนจะต้องไปเจอคนที่ไม่กล้าคุย จะเป็นวันที่เรารู้สึกเครียดทั้งวัน กดดันตัวเอง ไม่รู้จะคุยกับเขายังไง สัมภาษณ์ยังไง แต่เดี๋ยวนี้เราก็ทำและเผชิญกับมัน สามารถรับมือกับอะไรหลายอย่างที่เคยรับมือไม่ได้
อย่างเรื่องการเข้าสังคม ผมเคยไปงานแฟชั่นวีกที่มิลาน แล้วเขามีอาฟเตอร์ปาร์ตี้ จะมีคนในแวดวงแฟชั่นยืนคุยกันจิบแชมเปญ แล้วเป็นฝรั่งทั้งนั้นเลย ซึ่งผมรู้สึกว่าโอ้โห คือนี่ต่างประเทศ มีแต่ฝรั่งด้วย เราจะเข้าสังคมยังไง แต่ผมไม่กลัวที่จะทำเลย รู้สึกว่าเออ เราพัฒนาตัวเองมาไกลเหมือนกัน ผมสามารถเดินไปคุยทักทายเขา อาจจะคุยไม่ได้คล่องมาก เราไม่ได้มีเรื่องในแวดวงที่จะคุยได้เท่าหลายคน มันเป็นครั้งแรกของเราก็ประหม่าอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับผมแต่ก่อน ผมคงเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำแล้ว (หัวเราะ)”
จากนั้นเตเล่าถึงสมัยเป็นเด็กประถม ซึ่งคุณป้าที่อยู่ จ.เชียงใหม่ อยากให้ได้ภาษาอังกฤษ จึงส่งไปเรียนซัมเมอร์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง จำได้ว่าตอนไปเรียนกลัวมาก ไม่กล้าจะคุยกับใครเลย พอถึงช่วงเบรกก็ไปห้องน้ำ ไม่อยากออกมาจากห้องน้ำอีกเลย ไม่รู้จะออกไปเจอคนยังไง พูดคุยยังไง เหมือนจะร้องไห้ด้วยตอนอยู่ในนั้น แต่เดี๋ยวนี้พอเป็นเรื่องอะไรใหม่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากจะเรียนรู้มากขึ้น
คำถามจากแฟนๆ
เราหยิบคำถามจากแฟนคลับรายหนึ่งที่ถามว่ามีอะไรที่อยากทำและยังไม่ได้ทำบ้างไหม เขาตอบว่า “ยังไม่ได้อยากทำอะไรเพิ่ม ทำสิ่งที่มีให้ดีมากกว่า เรารู้สึกว่าต้นปีที่ผ่านมาก็ได้เริ่มทำอย่างมั่นคงขึ้น มีเวลากับมันมากขึ้น ด้วยความที่งานเข้ามาหลายรูปแบบมาก เราจะไม่มีเวลาโฟกัสกับอะไรเลย เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยู่หลายปี ปีนี้เลยตั้งใจว่าจะทำอะไรก็อยู่กับมันให้นานขึ้น ซึมกับมันให้มากขึ้น นี่คือความตั้งใจของปีนี้ ถ้าตามธรรมชาติของผม การที่ผมอยากทำอะไรใหม่ หมายความว่าเราต้องทำอย่างเก่าให้ดีจนเราเบื่อแล้วมากกว่า อีกยาวไกลที่ผมจะรู้สึกว่าเบื่อที่จะทำตรงนี้และอยากทำอะไรใหม่ๆ ยังไม่ถึงเวลานั้นเลย”
กับอีกหนึ่งคำถามจากแฟนคลับที่บอกว่าอยากเห็นรายการยูทูบของเต รวมถึง ออฟ จุมพล และกัน อรรถพันธ์ เตบอกว่า “อยากทำมากนะ ปีนี้เห็นแน่นอน แต่ความยากคือมันหาคิวตรงกันยากมาก คือมันแมตช์กันยากมากๆ เลย ได้วันแล้วที่จะต้องถ่าย แต่ยังบอกไม่ได้ว่าวันไหน แต่ปีนี้น่าจะได้ดูครับ น่าจะเป็นแนวสบายๆ วาไรตี้ เป็นความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ผมว่าความสนุกคือแต่ละคนต่างกันมาก ถ้าต้องไปแฮงก์เอาต์หลังเลิกงาน ไม่มีใครเป็นเวย์เดียวกันเลย คุยกันคนละเรื่องหมดเลย แต่ความตลกก็คืออยู่ด้วยกันแล้วมันสนุกดี สนใจคนละเรื่อง วิธีรับมือกับปัญหาคนละแบบ ไม่มีใครเหมือนกันเลยสักคนเดียว น่าจะเป็นไลฟ์สไตล์สนุกๆ ไปเที่ยวกัน ทำกิจกรรมกัน”
แม้จะมีซีรีส์กับนิว ฐิติภูมิ หลายปีก่อน แต่แฟนคลับก็ยังซัพพอร์ตเสมอ อยากฝากอะไรถึงชาวโพก้า (ชื่อด้อมแฟนคลับ) บ้างไหม เตยิ้มก่อนตอบ “ขอบคุณมากๆ ที่อยู่ด้วยกันมานานมาก จนมันรู้สึกเป็นมากกว่าแฟนคลับ มันเป็นส่วนหนึ่ง จริงๆ นะครับ มันรู้สึกผูกพันจนเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง บางคนถามอยากกินอันนี้ไหมเดี๋ยวส่งมาให้กิน เห็นเราชอบอันนี้ก็ส่งมาให้ดู เรารู้จักกันมาก ซัพพอร์ตกันมานานจนเรารักความสัมพันธ์นี้มากเลย เหมือนคอยเป็นห่วงเป็นใย รู้ว่าต่างฝ่ายชอบไม่ชอบอะไร ในวันที่เขาเหนื่อย เขาก็มาขอกำลังใจจากเรา วันไหนเราต้องการกำลังใจก็ขอจากเขา เป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักมากๆ เป็นเพื่อนพี่น้อง เป็นแฟมิลี่กันครับ”
ส่วนเรื่องซื้อของขวัญ เตบอกว่าเป็นคนเสียเงินกับการซื้อของขวัญให้เพื่อนเยอะมาก แต่เป็นการให้ที่มีความสุข “เริ่มจากน้องกันก่อน ก็เป็นเสื้อยืดตัวนึง อันนั้นคือพาเขาไปเลือกเอง เรารู้สึกว่าพอโตแล้วที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ให้ของขวัญกัน แต่พอหลังๆ พอให้คนนึงแล้วมันก็ต้องให้ทุกคน ก็ให้มาเรื่อยๆ การเลือกของขวัญให้เพื่อนสนิทมันรู้สึกดีที่เรารู้ว่าเขาชอบอะไร เราจะรู้สึกดีใจเวลาที่เขาชอบของที่เราให้ แต่บางทีของที่เราซื้อมาเก็บไว้เป็นปีแล้วไม่ได้ให้ก็มี บางทีก็ชอบลืม แต่เวลาไปเที่ยวแล้วเห็นของก็นึกถึงคนนี้แล้วซื้อมาครับ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าต้องเบรกทุกอย่างแล้ว เพราะทุกปีเที่ยวเยอะมาก และซื้อทีเต็มที่มาก
ตอนนี้เลยต้องเบรกตัวเองเรื่องการใช้จ่ายครับ ถามว่าจะมีแพลนไปเที่ยวไหนอีกไหม ยังไม่มีแพลนอะไร เพราะเมื่อต้นปีไปเที่ยวมาเยอะมาก ทำงานก่อนดีกว่า ชาร์จพลังเต็มที่แล้ว ได้เวลาทำงานแล้วครับ เลยยังไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ถ้าไปแฟนมีต บางทีนิวก็ทักว่าไปกันก่อนไหม เราจะได้ไม่รีบมาก เพราะทุกครั้งส่วนใหญ่ที่ไปคือเข้าสนามบินแล้วไปที่โชว์เลยแล้วก็กลับ ไม่ได้รู้เลยว่าข้างนอกในประเทศเขาเป็นยังไง หลังๆ ถ้าพอมีเวลาว่างเขามีคิวมาก่อนก็จะขอไปก่อนสัก 2-3 วัน ไปเที่ยวกันชิลๆ ก่อน แต่อันนี้ยังไม่ได้เริ่มเลยนะ คิดว่าน่าจะเริ่มหลังจากนี้ครับ”
หาบ้านหลังใหม่
อีกหนึ่งคำถามจากแฟนๆ ที่อยากรู้ว่าซื้อที่ดินแถวพระราม 9 หรือยัง เขาบอกว่า “คืออายุตอนนี้อยู่ในช่วงที่อยากจะมีบ้านของตัวเองครับ ผมชอบไปดูที่เพื่อการสร้างบ้าน ใครไปเจอก็จะมาแชร์กันว่าที่ตรงนั้นตรงนี้น่าสนใจ มีคนไปดูก็บอกว่ามันใหญ่มาก หารครึ่งไหม ซึ่งผมอยากอยู่ที่อื่นมากกว่า ผมจะชอบอยู่อีกโซนนึง แต่เขาจะส่งมาบอกว่าอันนี้แหละดี มันเป็นที่ใหญ่มาก (หัวเราะ) แต่พอไปดูแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกใจเท่าไร ตอนนี้ก็ยังคงหาไปเรื่อยๆ มันไม่ควรรีบ มันเหมือนต่างคนต่างเลือกกัน มันไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะสามารถเจอ มันมีปัจจัยหลายอย่างมากกว่าจะได้บ้านหลังนึงมา มันคือ right time and right place ครับ”
ส่วนบ้านในฝัน เต ตะวัน บอกกับบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ว่า “เป็นโฮมมี่ๆ แต่จริงๆ ผมเป็นคนชอบอะไรที่เป็นแบบรังๆ รูๆ เคยเห็นห้องนอนที่ปีนเข้าไปแล้วเป็นซอกแคบๆ ไหมครับ ชอบอะไรแบบนั้นมากเลย ชอบอะไรแคบๆ (หัวเราะ) ตรงอื่นใหญ่ๆ ได้ แต่ที่ที่เราจะอยู่เป็นห้องนอนเราอยากได้ฟีลแบบรังลับ คือเป็นห้องที่มีบันไดขึ้นไปแล้วมีอะไรอยู่ในซอก เหมือนญี่ปุ่นๆ หน่อย
ผมชอบอะไรอย่างนั้นมากเลย แต่ของจริงคงทำยากมากๆ ไม่รู้ถ้าอยู่ไปจนแก่จะปีนไหวหรือเปล่า (หัวเราะ) คือถ้าถามผมตอนนี้ก็อยากได้แบบนั้นครับ เป็นแบบไม้ๆ หน่อย ข้างๆ อาจจะมีช่องเปิดหน้าต่าง แล้วก็ชอบบ้านที่ร่มรื่น เป็นคนชอบต้นไม้ แต่ด้วยความบ้านในเมืองอาจจะหายากแหละ ราคาด้วย แต่คิดว่ายังไงก็ต้องได้เห็นอะไรสีเขียวในบ้านให้ได้ผ่อนคลายหน่อย”
เรื่องงบประมาณ เตบอกว่าไม่อยากได้เกินงบที่ตั้งไว้ “คือโอเคแหละ บ้านมันมีครั้งเดียว แต่ว่าถ้าเราทุ่มเงินทุกอย่างไปกับมัน เราก็จะไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการใช้ชีวิตกับบ้าน มันเลยเลือกไม่ได้สักทีเพราะว่าวันนี้อยากได้แบบนี้ อีกวันจะแบบอย่างนี้ก็ได้นะ มันตีกันไปหมด มันมีความไม่เหมือนกัน ตอนนี้เลยยังหาข้อสรุปไม่ได้ เลยยังไม่เจอสักที
ผมหามา 2 ปีแล้ว ผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งโชคดีไงที่ผมไม่ได้เป็นคนใจเร็วด่วนได้ เพราะช่วงแรกจะเป็นช่วงเด็กเห่ออยากได้คอนโด เกือบจะซื้อแล้ว แต่สุดท้ายไม่ได้ซื้อเพราะว่าเป็นช่วงโควิดไป พอเวลาผ่านมารู้สึกอยากอยู่บ้านมากกว่า พอไปจ่ายเงินมัดจำบ้านหลังนึง จ่ายไปเยอะมาก แต่สุดท้ายก็ได้เงินคืนมา เพราะรู้สึกว่าบ้านนั้นใหญ่เกินไปสำหรับเรา”
ใช้ชีวิตสมดุล
เตเล่าถึงแพลนชีวิตหลังจากนี้ว่าตั้งใจจะใช้ชีวิตให้สมดุลมากขึ้นมากกว่า “ผมคิดว่าจะไม่โหมงานหนักมาก และมีความคิดที่คล้ายกันกับนิว เราทำงานด้วยกันบ่อย คือเรารู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น แต่ก่อนจะมีช่วงที่รู้สึกว่ามองงานเป็นหลัก งานเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นช่วงที่เราต้องเติบโต แต่พออายุขึ้นเลข 3 รู้สึกว่ามันต้องบาลานซ์การใช้ชีวิตให้มันสมดุลด้วย
บางทีบางช่วงเรารู้สึกว่าทำงานหนักมากเกินไป เราไม่ได้เจอเพื่อน เราห่างจากเขา จนวันที่เราว่างขึ้นมา บางทีเราก็คิดว่าเราไม่รู้จะไปกับใครดีแล้วอ่ะ เพราะมันห่างหายกันไปแล้ว แล้วไม่รู้จะชวนใคร อยู่ดีๆ ผมก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมา บางทีมันมีงานที่ยกเลิกไปแล้วเราว่าง ก็คิดว่าจะทำอะไรดี มันนึกไม่ออกเพราะที่ผ่านมายุ่งตลอด พอว่างวันนึงโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวขึ้นมาก็ไม่รู้จะชวนใครไปไหนจริงๆ
คือที่ผ่านมาช่วงที่ไม่ว่าง เจอใครที่เราอยากไปเที่ยวด้วยก็พูดตลอดว่าเดี๋ยวไปนั่นไปนี่กัน พูดแบบนี้กับทุกคน แต่มันไม่เคยว่างไปเลยไง แต่พอว่างจริงๆ กลับนึกไม่ออกว่าจะชวนใคร ผมเลยรู้สึกว่าน่าจะมีเวลาให้กับเพื่อนๆ คนรอบตัว หรือคนที่เราอยากทำกิจกรรมร่วมกับเขาแล้วเคยคุยกันไว้ เรารู้สึกว่าเราต้องรักษาคนที่ดีๆ ในชีวิตเราไว้บ้างแล้ว เขาสำคัญไม่ต่างจากงาน เป็นสิ่งที่เงินก็ซื้อไม่ได้ ตอนนี้เริ่มมีทำบ้างแล้ว ค่อยเป็นค่อยไปครับ”
ส่วนเวลาให้กับแฟนๆ เตบอกว่ายังมีให้เสมอ ถึงจะไม่ได้เจอตามงานอีเวนต์ ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้คุยกับทุกคนนานๆ ก็ตามไปคุยกันในทวิตเตอร์ได้ พอคุยกันทีก็จะหยุดไม่ได้เลย จะตอบไปทั่ว แต่ช่วงที่ไม่ได้คุยก็จะไม่ได้คุยเลย ก่อนจะฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานว่า “ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ เตรู้สึกประทับใจกับการที่เราได้เจอกันตลอด ไม่เคยมีช่วงไหนที่ไม่ประทับใจ ขอบคุณที่อยู่กันข้างๆ มาตลอด อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะครับ และสามารถติดตามผมได้ที่อินสตาแกรมและทวิตเตอร์ @tawan_v และก็มี TikTok @taytadaotiktok ที่พยายามจะเล่น แต่ไม่ค่อยใช่แนวจริงๆ ก็พยายามอยู่ครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun