“...ข้าวต้องปลูก เพราะอีก 20 ปี ประชากรอาจจะ 80 ล้านคน ข้าวจะไม่พอ ถ้าลดการปลูกข้าวไปเรื่อยๆ ข้าวจะไม่พอ เราจะต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศ เรื่องอะไรประชาชนคนไทยไม่ยอม คนไทยนี้ต้องมีข้าว แม้ข้าวที่ปลูกในเมืองไทยจะสู้ข้าวที่ปลูกในต่างประเทศไม่ได้ เราก็ต้องปลูก”
ความตอนหนึ่งในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการพัฒนาพื้นที่บ้านโคกกูแว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส พ.ศ.2536
“เพชรคอรุม” แบรนด์ข้าวของชาวอุตรดิตถ์ ผลงานบนยอด ภูเขาน้ำแข็งที่สะท้อนให้เห็นถึง “พลังชุมชน” ที่มีการคิดอย่างครบวงจร
อย่าได้แปลกใจที่วันนี้คนไทยกำลังสร้างพลังประวัติศาสตร์ให้นายทุนข้าวได้เห็น ด้วยการออกมาหนุนช่วย “ชาวนา” ทุกทางเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ชาวนายังอยู่รอด สู้กลไกตลาดทุนที่บิดเบี้ยวมาหลายสิบปี
ภายใต้แนวคิดช่วยชาวนา “สร้างแบรนด์ข้าวบรรจุถุง” ที่ดังกระฉ่อนเมือง
วันนี้...ข้าวคุณภาพดีที่ว่านี้ ผลิตใหม่ๆจากแปลงนา ผลิตผลจากแรงใจของชาวนากำลังถูกทยอยสั่งจองมีออเดอร์ล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์มากมาย และนี่คือกำลังแรงส่งครั้งใหญ่ในเชิงรุก ทั้งในเชิงธุรกิจชุมชน และเชิงสัญลักษณ์ว่าคนเมืองเข้าใจความเจ็บปวดของชาวนาไทยเป็นอย่างดี
ไม่ต่างกับที่ศูนย์ข้าวชุมชนบ้านม่วงตลาด หมู่ 2 ตำบลคอรุม อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ หนึ่งในตำบลศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชน สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2545 เป็นเวลา 14 ปีแล้ว
เกิดจากการรวมกลุ่มกันของเกษตรกรที่เห็นถึงปัญหาราคาข้าวและกลไกตลาดที่ยิ่งทำยิ่งขาดทุน...ยิ่งทำยิ่งจนมีแต่หนี้สินรุงรังติดตัว
...
เมื่อทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือต้องการออกจากวังวนปัญหาราคาข้าว และการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก จึงหันมาร่วมกันผลิตข้าวที่ได้คุณภาพ ปลอดสารเคมี...เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ปลูกและผู้บริโภค ควบคู่ไปกับพัฒนาระบบการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาด
ผลจากการคิดและลงมือทำ ทำให้เกิดเป็นศูนย์ข้าวชุมชน มีกิจกรรมหลักอยู่ 2 กิจกรรม...อย่างแรกคือ การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว (พิษณุโลก 2) ซึ่งได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ ธ.ก.ส. และสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) ผลิตข้าวที่ได้รับรองมาตรฐาน GAP (มาตรฐานอาหารปลอดภัย) และอยู่ระหว่างการพัฒนามาตรฐานเป็น “ออแกนิกไทย”...(มาตรฐานเกษตรอินทรีย์)
อย่างที่สองคือ การผลิตข้าวครบวงจร (แบรนด์เพชรคอรุม) ปลูกข้าวพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ “ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสินเหล็ก และข้าวหอมมะลิแดง”
น่าสนใจว่าข้าวต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้าวอินทรีย์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นที่ต้องการของตลาด ผลสำเร็จคือทำให้มีผู้สนใจซื้อจำนวนมาก
รวมถึงมีกลุ่มสมาชิกที่ต้องการเพิ่มปริมาณผลผลิต เพราะผลผลิตได้ราคาดี นอกจากนี้ ศูนย์ข้าวชุมชนยังผลิตปุ๋ยอินทรีย์ โดยเป็นการผลิตเพื่อใช้ในกลุ่ม และเป็นการผลิตเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเครือข่ายทั้งยังมีการหมัก...หัวเชื้อ (สรสิงนาโน) ซึ่งเป็นวิวัฒนาการใหม่ในการผลิตข้าวครบวงจร
ด้วยช่วยให้ข้าวนุ่ม น่ารับประทาน เมล็ดข้าวสวยเงางาม และในส่วนของขั้นตอนสุดท้ายคือการแปรรูป ศูนย์ข้าวชุมชนยังได้จัดทำกระบวนการดูแล แปรรูปผลิตภัณฑ์ ตลอดจนทำบรรจุภัณฑ์กันเอง
ทั้งหมดเหล่านี้นับเป็นการผลิตข้าวแบบครบวงจร มีการจดลิขสิทธิ์เรียบร้อยโดย อัษฎางค์ สีหาราช ผู้ใหญ่บ้านคอรุม หมู่ 2 เป็นผู้จดทะเบียนภายใต้โลโก้ “เพชรคอรุม”
ถือว่าเป็นความไม่ธรรมดา สำหรับแบรนด์ข้าว “เพชรคอรุม” ที่เติบใหญ่สร้างแบรนด์ข้าวชุมชนมานานกว่า 14 ปีจนถึงวันนี้
ผู้ใหญ่อัษฎางค์ บอกว่า วันนี้...ปี 2559 ผลิตภัณฑ์ข้าวภายใต้แบรนด์เพชรคอรุมถือว่ามีผลสำเร็จเกินคาด สมาชิกกลุ่ม 24 คน พื้นที่ 270 ไร่ มีรายได้รวมกันขายได้ปีละ 150 ตัน
สนนราคาที่ขายกันได้เคาะแล้วอยู่ที่ตันละ 50,000 บาท...ทีเดียว
“ข้าวแบรนด์เพชรคอรุมบรรจุด้วยแพ็กเกจสุญญากาศอย่างดี ขายส่งกิโลกรัมละ 50 บาท และราคาขายปลีกกิโลกรัมละ 70 บาท ลูกค้ามีสองกลุ่มหลักๆ...กลุ่มที่รับไปขายต่อ และอีกกลุ่มคือลูกค้าออนไลน์”
สั่งซื้อผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยมีแฟนเพจชื่อว่า “ข้าวอินทรีย์เพชรคอรุม” แน่นอนเรื่องที่ต้องคุยให้ทันยุคทันสมัยก็คือยอดสั่งซื้อออนไลน์ ที่นับวันจะทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
“ชีวิตวันนี้ยึดหลักตามรอยพ่อหลวง พึ่งตนเอง ลดการใช้จ่าย และยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง จากการที่ได้ไปเรียนรู้กับปราชญ์ชาวบ้านเมื่อปี 2540 หลายคน...
ตอนนั้นผมเองก็เจ็บหนักเพราะทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาก่อน ฟื้นชีวิตและมีวันนี้ได้ก็ด้วยแนวคิดของพ่อหลวงจริงๆ อยากให้คนไทยศึกษาและยึดหลักที่พระองค์ท่านได้ทรงมอบให้คนไทยไว้”
ผู้ใหญ่อัษฎางค์เล่าด้วยความภาคภูมิใจ
เช่นเดียวกับที่ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านคลองกล้วย หมู่ 8 ก็ยังคิดครบจบในที่เดียวเหมือนกัน ทั้งโรงสีข้าวชุมชน ผลิตข้าวบรรจุข้าวให้แก่คนในและนอกพื้นที่ รวมถึงการบริการรถดำนาชุมชนให้เช่า ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดรายจ่ายแล้ว ยังสร้างความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ยังนับรวมไปถึงการมีกลุ่มเมล็ดพันธุ์ข้าว และกลุ่มเกษตรอินทรีย์ชีวภาพที่ครบวงจรอีกต่างหาก
...
“ศูนย์ข้าวชุมชน” ที่อุตรดิตถ์ได้พิสูจน์วิถีแห่งการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรได้อย่างกล้าหาญ เกษตรกรที่นี่มีรายได้จากการจำหน่ายข้าวในราคาที่ดีกว่าทั่วไป อีกทั้งเกิดการเรียนรู้ภายในชุมชน มีการฝึกปฏิบัติกระบวนการผลิตข้าวอินทรีย์ เช่น การคัดเมล็ดพันธุ์ การปลูก
การดูแลเกษตรกร “ชาวนา” ในพื้นที่ให้ลืมตาอ้าปากได้ด้วยลำแข้งของตนเองอย่างเข้มแข็ง ผลิต “ข้าว” ที่ดีมีคุณภาพปลอดสารพิษ...ลด เลิกการใช้สารเคมี ขีดวงเฉพาะในพื้นที่แน่นอนว่าจะทำให้ผู้บริโภคในพื้นที่มีสุขภาพที่ดีขึ้น
“ความเข้มแข็งของชุมชน” และ “การคิดอย่างครบวงจร” คือหัวใจฐานรากความคิดที่เกษตรกรไทยกลุ่ม “เพชรคอรุม” ใช้ และแน่นอนว่าเป็นชุดความคิดสำคัญในชุมชนอีกหลายแห่งที่สามารถสร้างวิสาหกิจชุมชนให้แข็งแรง มีกำไรหล่อเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน
ชาวนาไทยหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน...เผชิญกับภัยแล้ง น้ำท่วม สภาพอากาศที่ปรวนแปรว่าหนักแล้ว ยังต้องเผชิญกับวิบากกรรมทางการตลาด “ราคา” ข้าวตกต่ำจนโลกโซเชียลสะท้อนภาพให้เห็นแกมประชดประชัน
...ไปดูราคาข้าวในห้างซุปเปอร์สโตร์มา ข้าวสารบรรจุ 5 กิโลกรัมคุณภาพไม่ต้องพูดถึงแต่ติดป้ายแดงลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ ถูกสุดๆ อยู่ที่ 82 บาท ขณะที่อาหารสุนัข บรรจุ 3 กิโลกรัม ราคาอยู่ที่ 209 บาท
นี่ขนาดปลายทาง “ข้าว” ยังถูกขนาดนี้ “ต้นทาง”...ชาวนาปลูกข้าวขายราคาจะต่ำตกขนาดไหน เส้นทางข้าว “เพชรคอรุม” จึงเป็นอีกทางออกสำคัญที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ไม่มากก็น้อย.