ผมอ่านข่าวเรื่องราคาข้าวตกตํ่าแล้วก็รู้สึกใจหายและหนักใจแทนรัฐบาลครับ เพราะปัญหาเรื่องราคาข้าวนั้นเกี่ยวพันกับรายได้ของชาวนาไทยโดยตรง ทุกบาททุกสตางค์ที่ลดตํ่าลงไปย่อมกระทบกระเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาทั้งสิ้น

ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นแก่ชาวนาอย่างแน่นอน ซึ่งจะนำไปสู่คำเปรียบเปรยที่ว่า “ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน” ในที่สุด

ถึงแม้ทุกวันนี้ชาวนาไทยเราจะเหลือเพียง หรือประมาณ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของประชากรของประเทศ แต่ก็ยังถือว่าเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ และเป็นกลุ่มที่โดยปกติก็มีรายได้น้อยกว่ากลุ่มอื่นๆอยู่แล้ว กลับจะต้องมีรายได้ตํ่าลงไปอีกมาก ย่อมส่งผลถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่จะต้องเดือดร้อนมากขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

โอกาสที่รัฐบาลจะถูกโจมตีถูกวิจารณ์อันสืบเนื่องมาจากความพยายามในการแก้ปัญหา ซึ่งแน่นอนจะไม่มีวันแก้หรือชดเชยความเดือดร้อนได้ทั้งหมด...จะต้องเกิดขึ้น

เตรียมตัวรับมือให้ดีๆก็แล้วกันครับ

ผมเองไม่ได้ติดตามสถานการณ์เรื่องข้าวอย่างใกล้ชิดเท่าไรนัก แต่จากการติดตามข่าวคราวอย่างกว้างๆ ก็พบว่า เหตุที่ราคาข้าวปีนี้ตกตํ่า ก็เพราะผลผลิตข้าวของโลกนั้นเพิ่มขึ้นพอสมควรเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ

ยอดรวมของผลผลิตข้าวโลก ประมาณการเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จะอยู่ที่ 483.26 ล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของโลก และเพิ่มขึ้น จากปีที่แล้ว 11.17 ล้านตัน หรือเกือบๆ 2.4 เปอร์เซ็นต์

จีนซึ่งเป็นประเทศที่ปลูกข้าวมากที่สุด เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อินเดียปลูกมากเป็นอันดับ 2 ก็เพิ่มราวๆ 2 เปอร์เซ็นต์

แม้แต่ประเทศไทยเราที่ดูเหมือนว่าจะเจอปัญหาฝนแล้งตอนต้นปีแต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็คาดว่าผลผลิตของเราจะเพิ่มขึ้นกว่าปีกลาย

เมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้นมาหมด โดยเฉพาะ 2 ผู้ผลิตใหญ่ของโลกอย่างจีนกับอินเดียเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก จึงหนีไม่พ้นที่ราคาข้าวจะดิ่งเหวลงดังที่เป็นอยู่ขณะนี้

...

มีรายงานของข่าวต่างประเทศฉบับหนึ่งบอกว่า ราคาข้าวในประเทศไทยร่วงลงไปโดยเฉลี่ยประมาณตันละ 13 เหรียญสหรัฐฯ ของอินเดียร่วงไป 5 เหรียญสหรัฐฯ ปากีสถานร่วงหนักถึง 15 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนที่เวียดนามก็ร่วงไป 10 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน

จะเห็นได้ว่าหลายประเทศก็คงจะต้องเจอปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ผลิตข้าวขายทั้งหลายไล่ตั้งแต่อินเดีย ไทย เรื่อยมาจนถึงเวียดนาม

ในขณะที่ของจีนส่วนใหญ่เขาผลิตเพื่อรับประทานเอง แม้ราคาข้าวที่ตกตํ่าลงจะทำให้รายได้ของชาวนาตกตํ่าลง แต่ในแง่รายได้ของชาติ เขาจะไม่กระทบกระเทือนมาก เพราะไม่ต้องไปขายข้าวให้ใครอื่น เพื่อหารายได้เข้าประเทศ

ต่างกับประเทศที่ส่งข้าวออกเป็นรายได้หลัก เช่น ไทย เป็นต้น ซึ่งจะต้องกระทบ 2 เด้ง คือ เด้งแรก ชาวนารายได้ทรุดฮวบลง และเด้งสอง รายได้ของประเทศจากการส่งออกข้าวก็จะพลอยลดลง

จะไปกระเทือนจีดีพีสักกี่มากน้อยคงต้องติดตามกันต่อไป

ครับ! ทั้งหมดนี้ก็คือ ข้อเท็จจริงบางส่วนเท่าที่ผมอ่านพบในรายงานข่าวต่างประเทศ ก็ขอถือโอกาสนำมาแบ่งปันสู่กันอ่าน เพื่อให้ทราบเหตุผลว่า เพราะเหตุใดราคาข้าวถึงตกต่ำเช่นนี้

แต่ในโลกเรานั้น เวลาที่เผอิญเหตุการณ์วิกฤติเข้าจริงๆ หรือในช่วงเวลาที่เกิดความทุกข์ หรือความเจ็บปวดเข้าจริงๆ ผู้คนก็มักจะเต็มไปด้วยอารมณ์เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ จนลืมเหตุผลกันไปหมด

นั่นแหละครับ ที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่า ผมใจหายและหนักใจแทนรัฐบาล แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะแนะนำท่านอย่างไรดี

ช่วยเหลืออะไรเบื้องต้นที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ของชาวนาลงได้ ก็ทำไปเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ต้องระวังอย่าช่วยมากจนเกินกำลัง หรือเกินฐานะการคลังของรัฐบาลเป็นอันขาด

ส่วนในระยะยาวค่อยๆคิด ค่อยๆวางแผนกันอีกทีก็แล้วกันครับ เพราะปัญหาเรื่องข้าวเป็นเรื่องยาวและใหญ่มาก ไม่ใช่แก้ได้ง่ายๆเลย

เป็นหนึ่งในความทุกข์ซ้ำซากของแผ่นดินไทย และเป็นปัญหาปราบเซียน หมายถึง ปราบรัฐบาลและปราบนักวิชาการนักวางแผน การพัฒนามาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ.

“ซูม”