เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยของเรามีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอซีดี ซัมมิต หรือการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 มีพระประมุข ประมุข หัวหน้ารัฐบาล และผู้แทนจาก 34 ประเทศในเอเชีย เข้าร่วมประชุม ที่กระทรวงการต่างประเทศ
หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า การประชุมเป็นไปด้วยดี และจบประชุม อย่างชื่นมื่นทั้ง 33 ประเทศ ที่มาประชุมล้วนปลาบปลื้ม จากผลสำเร็จของการประชุมครั้งนี้
รายละเอียดต่างๆของข้อตกลงโปรดรอผลสรุปจากกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการอีกครั้งก็แล้วกัน เพราะแม้ผมจะจดเอาไว้บ้างแต่เนื้อที่คงไม่พอที่จะเขียนถึงในวันนี้
ก็ขออนุญาตรายงานสั้นๆแค่เพียงว่าที่ประชุมตกลงจะให้มีการจัดตั้งสำนักงานถาวรของกลุ่มเอซีดีขึ้น ที่ประเทศคูเวต ส่วนการประชุมครั้งต่อไป จะเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีเอซีดี จะจัดขึ้นที่กรุงอาบูดาบี
สำหรับควันหลงที่ผมยังรู้สึกประทับใจจนต้องเอามาเขียนถึงในวันนี้ก็คือ การมาร่วมแสดงปาฐกถา และการเข้าพบกับรัฐบาลไทย ของนาย “แจ๊ค หม่า” ประธานกลุ่มบริษัทอาลีบาบา ที่มาร่วมประชุมในฐานะภาคเอกชน ซึ่งมีการประชุมกันก่อน เมื่อได้ผลสรุปแล้วก็นำมติไปเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ในวันประชุมเต็มรูปแบบ
สาระสำคัญที่คุณแจ๊ค หม่า สรุปไว้ มีทั้งประเด็นในเรื่องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ สำหรับช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อย การส่งเสริม การพัฒนาระบบการเงินที่เรียกว่า ฟินเทค ไปจนถึงการหาช่องทางสนับสนุนคนรุ่นใหม่อายุน้อยๆในการดำเนินธุรกิจ
ภาษาอังกฤษของคุณแจ๊ค หม่านั้นสุดยอด นำเสนอได้อย่างชัดถ้อย ชัดคำ ผมฟังจากข่าวโดยสรุปที่เขาตัดมาออกเป็นบางช่วง ต้องยกนิ้วให้เลย ในสำเนียงและสำนวนที่แกใช้
หลังจากนั้นยังมีข่าวว่าแจ๊ค หม่า ได้เข้าพบและสนทนาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กับท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเข้าพบปะหารือกับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ ข้อยุติที่จะทำงานร่วมกันกับรัฐบาลไทยอีกหลายๆเรื่อง
...
โดยเฉพาะการร่วมมือกับอาลีบาบา กรุ๊ป ในการจำหน่ายสินค้า SME ไทยต่อไปในอนาคต รวมทั้งจะมีการจัดตั้งคณะทำงานประสานงานและวางแผนร่วมกันเป็นเวลา 1 ปี ในช่วงเริ่มต้นอีกด้วย
ก็ต้องขอขอบคุณ แจ๊ค หม่า ไว้ ณ ที่นี้ ที่ได้แสดงความกระตือรือร้น และความตั้งใจที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยของเรา
ความสำเร็จของแจ๊ค หม่า และอาลีบาบา กรุ๊ป เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก แม้แต่ชาติใหญ่ๆในตะวันตกก็ให้ความนับถือยกย่อง
ผมเองก็เคยหยิบเรื่องราวของเขามาเขียนถึงในคอลัมน์นี้หลายครั้ง เพื่อเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจสำหรับเด็กหนุ่มเด็กสาวของเรา ในการที่จะมานะบากบั่น พัฒนาตัวเอง
ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แจ๊ค หม่า เกิดจากครอบครัวที่ค่อนข้าง ยากจน แต่ก็มุมานะตั้งใจเล่าเรียน และสนใจภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ
หัดอ่าน หัดเขียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง เก็บเงินซื้อตำราเรียนภาษาอังกฤษ มานั่งอ่านนั่งฝึกโดยไม่ย่อท้อ
เก็บเงินซื้อวิทยุคลื่นสั้นมานั่งฟังภาษาอังกฤษของ บีบีซี กับเสียง อเมริกา ของสหรัฐอเมริกา จนสามารถออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีสำเนียงจีนเจือปนอยู่เลย
นอกจากนั้นยังไปฝึกใช้ภาษาอังกฤษด้วยการไปเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ นำฝรั่งเที่ยว ทำให้แตกฉานขึ้นเรื่อยๆ
เขาอาจอ่อนในวิชาอื่นๆ จึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆของประเทศไม่ได้ แต่ด้วยภาษาอังกฤษทำให้เขาสอบติดวิทยาลัยครูท้องถิ่น และในที่สุดวิชาครูกับวิชาภาษาอังกฤษก็กลายมาเป็นเครื่องมือในการบุกเบิกอาลีบาบาจนสำเร็จและดังไปทั่วโลกอย่างทุกวันนี้
ประวัติชีวิตของแจ๊ค หม่า ก็เหมือนกับชีวิตของบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายทั่วโลก ที่หนีไม่พ้นสุภาษิตที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
ทุกคนมีสิทธิฝัน และควรจะฝันกันเยอะๆครับ แต่เมื่อฝันแล้วจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง และทุ่มเท...ดังเช่นที่แจ๊ค หม่า ทุ่มให้กับการเรียนภาษาอังกฤษ จนต่อมาภาษาอังกฤษก็เปิดประตูแห่งความ สำเร็จให้แก่เขาจนก้าวมาถึงจุดนี้.
“ซูม”