เหลือเชื่อไหมล่ะ!! เชฟปากจัดอารมณ์ร้ายอย่าง “กอร์ดอน เจมส์ แรมเซย์” มีรายได้รวยอู้ฟู่เท่ากับศิลปินดังระดับโลก “บียอนเซ่ โนวส์” ปีนี้ทั้งคู่ได้รับการจัดอันดับจากฟอร์บส์ให้เป็นคนดังอันดับที่ 34 จาก 100 ของโลกที่มีรายได้สูงสุด โดยหาเงินเข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำถึง 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งคู่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ยกเว้นสิ่งเดียวคือความขยันและมุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อถีบตัวเองสู่ความสำเร็จ “บียอนเซ่” เคยให้สัมภาษณ์กับฟอร์บส์ว่า ในอุตสาหกรรมเพลง ฉันยังไม่เคยเจอใครทำงานหนักเท่าฉันสักคน!! นางไม่ได้โม้เกินจริง เพราะเป็นเจ้าแม่โปรเจกต์เบอร์ต้นๆ แถมเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไม่หยุดหย่อน เฉพาะอัลบั้มล่าสุด “Lemonade” นางจัดคอนเสิร์ตไปแล้ว 19 โชว์ โดยแต่ละโชว์ทำเงินไม่ต่ำกว่า 3.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งขยันทั้งอึดขนาดนี้จะไม่ให้รวยยังไงไหว นี่ไม่นับรวมค่าตัวถ่ายโฆษณาแบรนด์ดังระดับโลก เช่น ลอรีอัล, เป๊ปซี่ และ Topshop

ในฐานะเชฟคนเดียวที่ติดโผ 1 ใน 100 คนดังของโลกที่มีรายได้สูงสุดในปีนี้ “กอร์ดอน แรมเซย์” สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง เพราะไม่ได้ก้มหน้า ก้มตาอยู่ในครัวอย่างเดียว แต่ยังโลดแล่นออกมาทำรายการทีวีของตัวเองจนฮิตฮอตเรตติ้งกระฉูด กวาดรายได้เข้ากระเป๋ามหาศาล เชฟขั้นเทพได้เงินเดือนจากการถ่ายรายการเอพิโสดละ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปีหนึ่งถ่าย 51 ตอน บวกลบคูณหารมีเงินเข้ากระเป๋าปีละเหนาะๆ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลจากความดังของรายการ Hell’s Kitchen, The F Word, Ramsay’s Kitchen Nightmares, Master Chef, Master Chef Junior และ Hotel Hell ยังต่อยอดทำมาหากินได้อีกสารพัด ไหนจะพรีเซ็นเตอร์โฆษณา, ทำตำราอาหาร, ออกผลิตภัณฑ์เครื่องครัว และขายไลเซนส์ร้านอาหาร “เรสเตอรองต์ กอร์ดอน แรมเซย์” ที่ครองมิชลินสตาร์ถึง 16 ดวง เจ้าพ่อโปรเจกต์ยังไม่หยุดแค่นี้ เพิ่งออกเกมบนมือถือชื่อว่า “Gordon Ramsay Dash” ดูดเงินจากสาวกหลายล้านคน

...

กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตของ “แรมเซย์” ต้องปากกัดตีนถีบอย่างหนัก เขาเกิดในสกอตแลนด์ เติบโตมาในครอบครัวบ้านแตก ที่มีแต่ความสิ้นหวัง พ่อของเขาติดเหล้าหนัก ชอบอาละวาดทุบตีลูกเมีย แม่เป็นพยาบาล ส่วนพี่สาวและน้องชายก็ติดเฮโรอีนตั้งแต่วัยรุ่น พออายุ 16 เขาเก็บข้าวของออกจากบ้าน เพื่อไปแสวงหาอนาคต

ก่อนจะค้นพบตัวเองว่าอยากเป็นเชฟอาชีพ “แรมเซย์” ใฝ่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอล เขาได้รับเลือกร่วมทีมเยาวชนของวอร์วิคเชียร์และมีโอกาสเข้าฝึกซ้อมคัดตัวกับสโมสรฟุตบอลแรงเยอร์สของสกอตแลนด์ แต่ก็ถูกดับฝันตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะบาดเจ็บสาหัสที่เข่า จนสุดท้ายต้องออกวิ่งไล่หาความฝันใหม่อีกครั้ง

ตอนอายุ 19 ปี “แรมเซย์” ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนการบริหารจัดการโรงแรม ที่วิทยาลัยนอร์ท ออกซ์ฟอร์ดเชียร์ เทคนิเคิล คอลเลจ โดยได้รับทุนจากสโมสรโรตารี่ เขาเริ่มต้นอาชีพเชฟ ด้วยการเป็นผู้ช่วยเชฟที่โรงแรมวร็อกซ์ตัน เฮาส์ โฮเต็ล แต่ดันไปแอบกิ๊กกับเจ้าของโรงแรม เลยถูกไล่ออก ต้องเก็บกระเป๋าหนีมาตั้งหลักใหม่ที่กรุงลอนดอน เขาทำงานกับร้านอาหารหลายระดับ จนมีโอกาสลืมตาอ้าปากเมื่อได้ทำงานกับเชฟขาโหด “มาร์โค ปิแอร์ ไวท์” ที่ร้านดัง “Harveys” เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ 2 ปีเศษ ก็เอือมระอากับความโมโหร้ายของเจ้านาย เลยเบนเข็มไปหางานทำในปารีส โดยวาดฝันว่าจะพัฒนาฝีมือแบบก้าวกระโดด โอกาสสำคัญในชีวิตมาถึงเมื่อเขาได้ทำงานกับเชฟมิชลินสตาร์ของฝรั่งเศสหลายคน หนึ่งในนั้นที่เขายกย่องเป็นครูคือ “กาย ซาวอย”

ทักษะการทำอาหารชั้นสูงแบบฝรั่งเศส ทำให้ “แรมเซย์” กลายเป็นเชฟหนุ่มเนื้อหอมฉุย ทันทีที่กลับมาลอนดอน เขาได้รับข้อเสนอจาก “มาร์โค ปิแอร์ ไวท์” ให้ร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารแห่งใหม่ชื่อ “Aubergine” แต่ด้วยความฝันที่อยากเป็นเถ้าแก่ ภายหลัง “แรมเซย์” ขอถอนหุ้นออกมาเปิดร้านอาหารของตัวเองคือ “Restaurant Gordon Ramsay” เพียงเวลาสั้นๆ เขาก็สร้างสถิติเป็นเชฟสกอตแลนด์คนแรกของโลกที่ได้มิชลิน 3 ดาว

เส้นทางความสำเร็จและรวยระเบิดของ “แรมเซย์” เปิดอ้าซ่าส์ ในปี 2004 เมื่อเขาสยายปีกมาเป็นเจ้าพ่อรายการทีวี มีซีรีส์ดังเรตติ้งกระฉูดถึง 2 รายการคือ Ramsay’s Kitchen Nightmares ออกอากาศทางช่อง 4 และ Hell’s Kitchen ออนแอร์ทาง ITV1 ดังระเบิดขนาดที่สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์มาซื้อลิขสิทธิ์เพื่อไปทำในฝั่งอเมริกา

จากหนุ่มบ้านแตกโตมากับความรุนแรงในครอบครัว จนมีนิสัยก้าวร้าวขี้โมโหติดตัว ทุกวันนี้เขาคือต้นแบบของคนสู้ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ชะตากรรม.

มิสแซฟไฟร์