เกิดเหตุถังเก็บน้ำเสียในโรงงาน ที่นิคมฯเหมราช จ.ระยอง เกิดระเบิด-ไฟลุก กลางดึก จนท.คุมสถานการณ์ได้แล้ว พนักงานแน่นหน้าอก 1 ราย เร่งสอบสาเหตุ พร้อมส่งทีมสำรวจผลกระทบชุมชน...

เมื่อเวลา 02.45 น. วันที่ 22 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุถังเก็บน้ำเสียขนาด ของ โรงฟีนอล บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช ถนน จี 9 เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เกิดระเบิดขึ้นเสียงดัง มีเปลวไฟลุกไหม้ ทำให้โรงงานประกาศภาวะฉุกเฉิน อพยพคนงานออกนอกพื้นที่ พร้อมให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าควบคุมสถานการณ์ โดยระดมฉีดน้ำ ประมาณ 10 นาที เพลิงจึงสงบ จึงยกเลิกภาวะฉุกเฉิน ขณะเดียวกันยังใช้สเปรย์น้ำหล่อเย็นไว้เพื่อคุมความร้อนไม่ใช้เกิดระเบิดซ้ำ ทั้งนี้จากเหตุระเบิดดังกล่าวทำให้ประชาชนบริเวณใกล้เคียงตื่นตกใจเป็นอย่างมาก

นายอิทธิ แจ่มแจ้ง ประธานชุมชนหนองแฟบ บอกว่า ขณะเกิดเหตุ มีข้อความจากศูนย์ความปลอดภัยนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดแจ้งมาว่า ประกาศภาวะฉุกเฉิน จึงตื่น และโทรศัพท์ติดตามสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ออกจากบ้านมาเพื่อสอบถามชาวบ้านว่ามีผลกระทบอะไรหรือไม่ จะต้องย้ายประชาชนหรือไม่ ถ้าย้ายและปลุกชาวบ้านอาจจะเกิดความอลหม่าน เพราะมีเสียงดังมาจากโรงงาน แต่ไม่นานก็มีข้อความมาอีกว่า ยกเลิกภาวะฉุกเฉินแล้ว จึงไม่ต้องไปปลุกเรียกชาวบ้าน ซึ่งในเบื้องต้นก็ยังไม่พบว่ามีผลกระทบอะไร นอกจากชาวบ้านตื่นตกใจที่มีเสียงดัง

...

ต่อมาเวลา 07.30 น. นายพรศักดิ์ มงคลตรีรัตน์ ผอ.ควบคุมภาวะฉุกเฉิน บริษัท พีทีที ฟีนอล ได้ออกแถลงข่าว พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเวลา 04.00 น. กับอุปกรณ์ที่เรียกว่าเป็นถังแยกระหว่างน้ำมันกับน้ำ ที่บนหัวถังเกิดลุกติดไฟ จึงได้ดำเนินการประกาศภาวะฉุกเฉิน แล้วก็เข้าดำเนินการระงับเหตุตามภาวะฉุกเฉินของบริษัท โดยสามารถดับไฟได้ในเวลา 04.13 น. ตอนนี้เหตุการณ์ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ทั้งหมดแล้ว มีพนักงานแน่นหน้าอก 1 คน นำส่ง รพ.กรุงเทพระยอง 

ส่วนผลกระทบกับชุมชน ขณะเกิดเหตุได้ส่งทีมออกไปสำรวจ ไม่มีผลกระทบเรื่องของกลิ่น ส่วนน้ำที่ใช้ในการดับเพลิง ก็เก็บกักไว้ในบริษัทเรียบร้อย ไม่มีปล่อยออกภายนอก โดยขณะเกิดเหตุมีเสียงดังเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนเปลวไฟที่เห็นคือไฟที่ลุกติดตัวถังในขณะเกิดเหตุ และระงับเหตุได้ในเวลา 10 นาที จึงประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน จากนี้ก็จะเข้าอยู่ในระหว่างการเข้าไปสำรวจความเสียหายแล้วก็ดูเรื่องสาเหตุที่เกิดขึ้น รวมถึงการลงไปพื้นที่ชุมชนเพื่อดูผลกระทบ แต่ตอนนี้ได้รับข้อมูลว่าไม่มีผลกระทบใดๆ เกิดขึ้น

นายพรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตัวถังที่ระเบิดเป็นถังที่แยกน้ำมันกับน้ำ ในน้ำมันส่วนหนึ่งประกอบด้วยตัวทำละลายที่เหมือนกับการผสมในน้ำยาทาเล็บ ตัวฟีนอลผลิต Bis-Phenol A เพื่อนำไปผลิตเม็ดพลาสติกชนิดหนึ่งเพื่อทำพวกส่วนประกอบรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และกระจก โดยถังที่ไหม้คือถังที่แยกน้ำจากน้ำมันที่อยู่ในระบบบำบัดน้ำเสีย น้ำมันที่แยกแล้วเราก็จะเอามาใช้ในกระบวนการผลิตใหม่ ส่วนการตรวจสอบสาเหตุต้องใช้เวลา 3-5 วัน เพื่อตรวจสอบสาเหตุโดยละเอียด เบื้องต้นได้หยุดเดินเครื่องโรงงานแบบปกติ จึงไม่มีผลกระทบกับการผลิตของโรงงาน

ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมเหมราช เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง นายวิฑูรย์ อยู่ทิม รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ฝ่ายปฏิบัติการ ออกชี้แจงข่าว เหตุเพลิงไหม้ถังเก็บของเสีย ว่า หลังเกิดเหตุ บริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัด สามารถระงับเหตุได้เรียบร้อยเมื่อเวลา 04.13 น. พร้อมกับได้ประกาศยุติภาวะฉุกเฉิน ในเวลา 05.00 น.

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า บริเวณที่เกิดไฟไหม้อยู่ที่ถังเก็บของเสีย ขนาดความสูง 13.1 ม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 7.5 ม. ซึ่งเป็นระบบบำบัดน้ำเสียจากกระบวนการผลิต บริษัทได้เข้าระงับเหตุเพลิงไหม้ในทันที โดยเพลิงไม่ได้ลุกลามออกนอกบริเวณที่เกิดเหตุ และกระบวนการผลิตไม่ได้รับความเสียหายใดๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้หยุดเดินเครื่องทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ พบว่ามีพนักงานที่เข้าระงับเหตุ มีอาการแน่นหน้าอก 1 ราย นำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพ-ระยองทันที ขณะนี้อาการปลอดภัย แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้

ด้านนายกำพล ชัยกิจโกสีย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัด ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพแวดล้อมในทันทีที่เกิดเหตุ ทั้งภายในและภายนอกโรงงาน บริเวณทิศทางใต้ลมร่วมกับ สนง.นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยช่วงบ่ายได้ลงพื้นที่พบกับชุมชนหนองแฟบ ชุมชนมาบชลูด และชุมชนมาบชลูด-ชากกลาง ที่อยู่ใกล้โรงงาน เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

จากการสอบถาม นายสมโชค ใจตั้ง อายุ 50 ปี ที่อยู่ 24 ถ.ประชารัฐ ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เผยว่า ตนได้อาศัยอยู่ติดกับโรงงานแห่งนี้ระยะห่างเพียง 200 ม.ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เมื่อเกิดเหตุทำไมถึงไม่มีการแจ้งให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่จริงได้รับทราบ ว่ามีการเตือนภัยโชคดีที่ไม่มีเหตุร้ายแรงมากนัก ในส่วนของผลกระทบต่อชุมชน ควรให้ความสำคัญกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจริงๆ.