ที่บาห์เรน ‘เกาหลีใต้’ และมาเลย์ ฝีมือ‘เจ๊ปิ๊ก’ ประสานตร.
ตำรวจไทยประสาน เครือข่ายตำรวจสากล ช่วยเหลือ 5 สาวไทย ที่ถูกหลอกไปค้ากาม ต่างประเทศ หลังมูลนิธิปวีณาฯรับแจ้งจากครอบครัว โดย 1 ในผู้เสียหายที่ถูกหลอกไปเกาหลีใต้ จะกลับแผ่นดินแม่เป็นคนแรก ขณะเดียวกัน ตำรวจ บก.ตท.คาดมีแก๊งค้ากามหลอกสาวไทยขายตัวในแดนกิมจิ เตรียมบินไปคุยกับตำรวจเกาหลีใต้หามาตรการป้องกันและช่องทางทลายแก๊ง
มูลนิธิปวีณาฯประสานตำรวจช่วยเหยื่อสาวถูกหลอกไปค้าประเวณีต่างประเทศกลับไทย เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 5 ส.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผบก.ตท.ร่วมกับนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แถลงผลการช่วยเหลือหญิงไทยที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีต่างประเทศ โดย พล.ต.ต.อภิชาติเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ได้รับการประสานจากมูลนิธิปวีณาฯ มีเหยื่อสาวชาวไทยถูกหลอกไปค้าประเวณี 5 ราย 2 รายแรกอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ รายที่ 3 อยู่ที่ประเทศบาห์เรน ส่วน 2 รายสุดท้ายตกระกำลำบากอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย บก.ตท.ได้ประสานเครือข่ายตำรวจสากลเข้าช่วยเหลือ เริ่มที่ประเทศบาห์เรน เหยื่อหลบหนีออกมาได้ ก่อนประสานกับสถานทูตไทยรับตัวไว้ ส่วนที่ประเทศเกาหลีใต้ รายแรกเหยื่อหนีออกมาจากสถานบริการคล้ายอาบอบนวด ต้องขอบคุณความสามารถของเหยื่อที่ใช้โซเชียลมีเดียแชร์โลเคชั่นแจ้งว่าอยู่ตรงไหน ทำให้ตำรวจสากลเกาหลีใต้เข้าช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ก่อนนำไปสถานที่พักฟื้น
ผบก.ตท.กล่าวต่อว่า ส่วนสาวไทยอีกรายที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศเกาหลีใต้ อยู่ที่เมืองแทกู สามารถหนีมาที่สนามบินปูซาน ได้ประสานตำรวจสากลเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้เข้าช่วยเหลือ ขณะนี้อยู่ในสถานที่ปลอดภัยเช่นกัน ทั้งนี้ได้ประสานกับตำรวจสากลเกาหลีใต้ เนื่องจากเกิดเหตุอย่างนี้มาหลายครั้ง มีความต่อเนื่อง น่าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามีแก๊งเครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามชาติของประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางไปประเทศเกาหลีใต้ เพื่อคุยกับหัวหน้าตำรวจสากลของประเทศเขา หาแนวทางสืบสวนสอบสวนเพื่อวางมาตรการป้องกัน และหาวิธีทลายแก๊งเหล่านี้ต่อไป ส่วนเหยื่ออีก 2 รายที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ได้ประสานตำรวจสากลมาเลเซียแล้ว คาดว่าจะมีผลการดำเนินการในไม่ช้า เพื่อช่วยเหลือเด็กไทยกลับบ้าน และขอประชาสัมพันธ์ถึงบุคคลที่จะไปทำงานยังต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ของดีราคาถูกไม่มี การจะไปต่างประเทศโดยมีใครชักชวนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง
...
ขณะที่นางปวีณากล่าวว่า ในการให้ความช่วยเหลือ น.ส.พลอย (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ที่ถูกหลอกไปทำงานในโรงงานทำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ได้ผลตอบแทน 70,000 บาทต่อเดือน ที่เมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้ค้าประเวณีตลอด 24 ชั่วโมงจนอวัยวะเพศฉีกขาด ครอบครัวผู้เสียหายได้ร้องขอให้มูลนิธิปวีณาฯให้การช่วยเหลือ โดยมูลนิธิฯได้ประสานกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เข้าช่วยเหลือเหยื่อให้เร็วที่สุด เบื้องต้นได้ประสานไปยังตำรวจสากลประเทศเกาหลีใต้ ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศได้โทร.แจ้งว่า น.ส.พลอย จะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในเวลาเที่ยงคืนวันนี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยตนจะเดินทางไปรับที่สนามบินด้วย
นางปวีณายังกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติกลับมาหลอกหญิงไทยไปทำงานต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติในเดือน ก.ค. มูลนิธิปวีณาฯรับเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ต่างประเทศทั้งสิ้น 18 ราย ประกอบด้วยประเทศบาห์เรน 10 ราย มาเลเซีย 4 ราย เกาหลีใต้ 2 ราย ฮ่องกง 1 ราย และที่ศรีลังกา 1 ราย
ต่อมา เวลา 19.50 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น.ส.บัว (นามสมมติ) อายุ 28 ปี และ น.ส.จันทร์ (นามสมมติ) ไม่ทราบอายุ 2 สาวไทยที่ถูกหลอกไปค้าประเวณี ที่ประเทศบาห์เรน และได้รับการช่วยเหลือจากตำรวจสากลบาห์เรน และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ นครมานามา ประเทศบาห์เรน ให้การช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศไทย โดยสายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ เอไอ 332ยู มี พล.ต.ต.อภิชาติ ศุวิบุญญา ผบก.ตท. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม. เจ้าหน้าที่จากส่วนช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และกลุ่มเสี่ยง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ พม. มารอรับเพื่อนำไปดำเนินการตามกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย และสอบปากคำเพื่อติดตามขบวนการค้ามนุษย์หลอกหญิงไทยไปบังคับค้าประเวณีที่ ประเทศบาห์เรนมาดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ ยังมีนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์และร่วมต้อนรับ น.ส.บัว 1 ใน 2 เหยื่อถูกหลอกค้าประเวณีด้วย ทั้งนี้ นางปวีณากล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการร้องทุกข์จาก น.ส.บัว ขอให้ช่วยเหลือนำตัวกลับประเทศไทย เนื่องจากถูกหลอกให้มาค้าประเวณีที่ประเทศบาห์เรน ได้ประสาน ผบก.กองการต่างประเทศ ให้ช่วยประสานตำรวจบาห์เรนเข้าไปช่วยเหลือกระทั่งกลับประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย ส่วนอีกรายเป็นกรณีที่สถานทูตช่วยเหลือออกมาได้