ชาวบ้านซอยจับกัง จ.ชัยนาท กว่า 100 ชีวิต ร้องสื่อฯ หลังถูกนายทุนไล่ที่ อ้างซื้อสิทธิครอบครองที่ดินถือร่วมกัน 23 คนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่มีเพียง 2 คน ขายกรรมสิทธิ์ให้กับนายทุน ครวญชาวบ้านหาเช้ากินค่ำหากต้องไป ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ...
วันที่ 29 ก.ค. 2559 ชาวบ้านในชุมชนสุขใจ หรือที่เรียกกันว่าซอยจับกัง ที่เป็นชุมชนแออัดในตัวเมืองชัยนาท ได้ร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชนว่า ที่ดินภายในซอยจับกังที่อยู่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน และมีโฉนดถูกต้อง โดยมีผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน 23 คน ได้มีบุคคล 2 ราย ที่มีชื่อครอบครองร่วมในโฉนดได้แอบนำโฉนดไปจำนองกับนายทุน โดยอีก 21 คน ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งนายทุนได้ประกาศยึดที่ดินดังกล่าว หลังจากไม่มีการชำระหนี้ตามสัญญา ทำให้ชาวบ้านในชุมชนกว่า 100 ชีวิต เริ่มกลัวว่าจะไม่ที่อยู่อาศัยและต้องสูญเสียที่ดินที่ รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย มอบไว้ให้ ไปโดยไม่ชอบธรรม จึงวอนขอให้สื่อมวลชนช่วยเป็นกระบอกเสียงขอความเป็นธรรม พร้อมทั้งนำสำเนาโฉนดที่ดิน และหมายเรียกจากศาลให้สื่อมวลชนดู โดยยืนยันว่าจะไม่ยอมให้มีการซื้อขายโดยเด็ดขาด
...
นางสาวเป้า ชื่นนคร ตัวแทนของ 21 ผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินในชุมชนสุขใจ กล่าวว่า มีผู้ถือสิทธิจำนวน 2 คน ได้แอบทำการขายสิทธิในการครอบครองที่ดิน และได้นำโฉนดไปให้กับนายทุน ภายหลังทราบเรื่องกลุ่มของพวกตนทั้ง 21 ราย พยายามไปขอโฉนดที่ดินคืน แต่นายทุนดังกล่าวไม่ยอม จนต้องมีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น โดยศาลได้ตัดสินให้นายทุนผู้ซื้อได้สิทธิ์ครอบครองได้เฉพาะที่ดิน ส่วนของ 2 ราย ที่ทำการจำนองเท่านั้น แต่ด้านนายทุนไม่ยอม ได้นัดไปเจรจาที่สำนักงานบังคับคดี โดยพวกตนยินยอมยกที่ส่วนด้านหน้าชุมชนให้คู่กรณี แต่คู่กรณีมีเงื่อนไขให้ทั้งชุมชนสร้างบ้านใหม่ให้เป็นตึกแถว โดยอ้างเพื่อปรับภูมิทัศน์ ให้เข้ากับอาคารพาณิชย์ที่นายทุนจะสร้างบนที่ดินที่รับซื้อ แต่ชาวบ้านไม่ยอม เพราะแต่ละรายไม่มีเงินที่จะทำตามได้
จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีหมายศาลมาแปะไว้ตามบ้านทุกหลังที่อยู่ในชุมชนดังกล่าว โดยมีใจความให้ทำการแบ่งแยกที่ดินของทั้ง 23 ราย เพื่อส่งมอบที่ดินในกรรมสิทธิ์ของ 2 ราย ที่ขายให้นายทุนที่รับซื้อ แต่หากแบ่งแยกไม่ได้ ให้ขายทั้งแปลงเพื่อแบ่งเงินจากการขายให้ทั้ง 23 ราย
นางสาวเป้า กล่าวทิ้งท้ายว่า "ก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้ร้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชัยนาท แต่ทางศูนย์ฯ ก็บอกว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ เพราะเรื่องราวและคดีความนั้นได้จบไปแล้ว พวกตนก็หมดหนทาง และยังคาใจเพราะไม่มีใครยินยอม เห็นดีเห็นงามกับการต้องโดนไล่ที่ ซึ่งคนในชุมชนสุขใจ เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ทำงานรับจ้าง หากินไปวันๆ ซึ่งบ้านที่อาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ก็อยู่มากัน 100 ปี มีทั้งหมด 40 หลังคาเรือน อยู่รวมกันกว่า 100 ชีวิต อยู่ดีๆ จะให้ขาย ให้สร้างบ้านใหม่ ให้ซื้อบ้านใหม่ ชาตินี้ก็คงไม่มีปัญญา เพราะแต่ละครอบครัวก็มีลูกมีหลานต้องดูแล อยากวอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย เพราะพวกตนยังไม่มีใครอยากขายที่ดินสักคน มีเพียงแค่ 2 คน ที่ขายไป แล้วทำไมคนส่วนใหญ่จะต้องย้ายออกหรือขายที่ดิน สมบัติของบรรพบุรุษด้วย”
...