เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นเรื่อง “การเมือง” ที่ทับซ้อนและพร้อมที่จะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม ยํ้ารอยเดิมที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

กำลังพูดถึง “ธรรมกาย” ภายใต้ “พระธัมมชโย” ที่ถูกข้อหาครหาว่านำพระธรรมคำสอนไปบิดเบือนจนทำให้เกิดความเชื่อความศรัทธา ความหลงอย่างยึดมั่นถือมั่นที่คนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปสู่วังวนนี้

เป็นเส้นทางไปสู่ “ประตูสวรรค์”

จนทำให้ “ลัทธิธรรมกาย” ภายใต้โลโก้ “จานบิน” ที่จะนำพาไปสู่สวรรค์ได้ด้วยวิถีแห่งการตลาด ที่ว่าบุคคลใดทำบุญด้วยการบริจาคมากเท่าใดก็จะเป็นก้าวไปสู่สวรรค์ชั้นสูงสุดได้

ต้องยอมรับความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า ด้วยวิธีการบริหารจัดการที่นำไปสู่ความเลื่อมใสในลักษณะนี้ได้นั้นถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเอาความทุกข์ของผู้คนมาเป็นแก่นกลางในลักษณะที่ว่าวันนี้แม้จะทุกข์ยากอย่างไร

แต่หากทำบุญให้มากๆ ในชาตินี้ ชาติหน้าจะไปสู่สวรรค์เอง

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้วัดพระธรรมกายได้เงินจากการบริจาคเป็นจำนวนมากจนสามารถที่จะขยายความเชื่อและศรัทธาจนสามารถไปซื้อที่ดินสร้างสาขา “ธรรมกาย” ไปสู่พื้นที่จังหวัดต่างๆ เกือบ
ทั่วประเทศ

แม้จะเคยมีเรื่องมีราวมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาได้เพราะมีความเกี่ยวพันกับการเมืองอย่างแยกไม่ออก

เนื่องจากมีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ฝ่ายธรรมกายก็ต้องอาศัยอำนาจทางการเมืองเพื่อพยุงฐานะให้ดำรงอยู่ได้

ฝ่ายการเมืองก็อาศัยมวลชนที่ศรัทธามาเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนทางการเมือง เพื่ออำนาจและผลประโยชน์

เป็นความผูกพันอย่างมีนัยสำคัญ

...

จนกระทั่งมาถึงรัฐบาล คสช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เรื่องของ “พระธัมมชโย” ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

เนื่องจากเงินจำนวนนับพันล้านที่เกี่ยวพันกรณีการทุจริตสหกรณ์คลองจั่น ที่ผู้จัดการกองทุนนำไปบริจาคให้พระธัมมชโยจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา และทำท่าว่าจะบานปลายกลายเป็นเงื่อนไขทางการเมือง

เมื่อดีเอสไอได้ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน-รับของโจร” ต่อพระธัมมชโยเนื่องจากมีความผิดที่รับเงินบริจาค แม้จะอ้างว่าได้คืนเงินจำนวนนั้นไปแล้ว

แต่ในทางกฎหมายถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นแล้วจึงต้องดำเนินคดีด้วยการเชิญตัวพระธัมมชโยให้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ปรากฏว่าไม่ได้คำยินยอมจนศาลต้องออกหมายจับ พร้อมปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากบรรดาพระ และลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายที่ยืนยันมาตลอด

ไม่ได้กระทำความผิด แต่ถูกกลั่นแกล้ง

ล่าสุดอ้างว่ามีอาการเจ็บป่วย ไม่สามารถมอบตัวต่ออัยการ และดีเอสไอที่ทำคดีนี้ และยังตั้งป้อมค่ายที่วัดพระธรรมกายไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการ

แต่กระแสสังคมอีกส่วนหนึ่งไม่เชื่อว่าป่วยจริง และคิดว่าหนีออกนอกประเทศไปแล้ว จึงพยายามเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่นำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

แม้จะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเกี่ยวเนื่องไปถึงรัฐบาล คสช. ที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ที่จะต้องคิด และพิจารณาให้รอบคอบ

เพราะกำลังเป็นตัวเร่งไปสู่เงื่อนไขทางการเมืองที่กำลังรอจังหวะนี้อยู่.

“สายล่อฟ้า”