ผมได้รับข้อมูลข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดีย คือกรุ๊ปไลน์ที่ผมกับเพื่อนๆตั้งวงสำหรับส่งข่าวสารถึงกันและกันมาข่าวหนึ่ง

เป็นข่าวที่เพื่อนผม ซึ่งเป็นสมาชิกกรุ๊ปไลน์อีกหลายๆกรุ๊ป เห็นว่าน่าสนใจ จึงเอามาเผยแพร่ต่อในกรุ๊ปที่ผมเป็นสมาชิก...ซึ่งผมก็เห็นว่าน่าสนใจเช่นกัน ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อในคอลัมน์วันนี้

เผื่อว่าท่านผู้อ่านอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะแฟนๆสูงวัยที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องโซเชียลมีเดียจะได้รับรู้รับทราบข้อมูลนี้ด้วย

สาระของเนื้อข่าวชิ้นนี้ก็คือ...จากข้อมูลเมื่อปี 2557 ซึ่งมีการจัดอันดับประเทศที่มีการกระจายรายได้อย่างไม่เป็นธรรมนั้น ผลออกมาว่าประเทศไทยของเราอยู่ในอันดับ 6 ของโลกเลยทีเดียว

ทั้งนี้ โดยการวัดจากตัวเลขการถือครองความมั่งคั่งของประเทศ โดยวัดจากคนร่ำรวย 10 เปอร์เซ็นต์ข้างบนเป็นเกณฑ์ พบว่าประเทศที่คนรวย 10 เปอร์เซ็นต์ถือครองความมั่งคั่งสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกได้แก่ รัสเซีย ซึ่งถือไว้ถึง 84.8 เปอร์เซ็นต์

แปลความอย่างง่ายๆก็คือ ความมั่งคั่งของรัสเซียหรือทรัพย์สินของรัสเซีย (ส่วนใหญ่วัดด้วยจีดีพี) กว่าร้อยละ 80 เมื่อ 2 ปีก่อนนั้น อยู่ในกำมือของคนรวยเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เห็นภาพชัดเจนเลยนะครับว่า เกิดช่องว่างแค่ไหนระหว่างคนรวยกับคนจนของรัสเซียยุคใหม่ที่มิใช่คอมมิวนิสต์อีกต่อไปแล้ว

สำหรับอันดับรองๆไป ได้แก่ 2.ตุรกี 77.7 เปอร์เซ็นต์ 3.ฮ่องกง 77.5 เปอร์เซ็นต์ 4.อินโดนีเซีย 77.2 เปอร์เซ็นต์ 5.ฟิลิปปินส์ 76 เปอร์เซ็นต์ 6.ไทย 75 เปอร์เซ็นต์ 7.สหรัฐฯ 74.6 เปอร์เซ็นต์ 8.อินเดีย 74 เปอร์เซ็นต์ 9.อียิปต์ 73.3 เปอร์เซ็นต์ และบราซิล 73.3 เปอร์เซ็นต์

เห็นไหมล่ะครับ ว่าไทยแลนด์ของเราอยู่ถึงอันดับ 6 ของโลก เพราะคนรวย 10 เปอร์เซ็นต์ ถือครองความมั่งคั่งของประเทศไทยเอาไว้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขที่สูงไม่น้อยเลย

...

ในข้อมูลที่เพื่อนส่งมาให้รายงานเพิ่มเติมว่าสำหรับตัวเลขล่าสุดคือปี 2558 นั้นมีการจัดทำออกมาแล้ว แต่เนื่องจากไม่มีการเก็บตัวเลขของประเทศที่ติดอันดับสูงปี 2557 ถึง 3 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และตุรกี จึงไม่สามารถนำมาเทียบกันได้อย่างชัดเจน

แต่สำหรับประเทศความเหลื่อมล้ำสูงกว่าเราอย่างอินโดนีเซียนั้นปรากฏว่าปี 2558 เขากระโดดขึ้นไป 77.9 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่า 2557 อีกนิดหน่อย ในขณะที่ประเทศไทยกระโดดมากกว่าคือขึ้นไปที่ 78.6 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าอินโดนีเซียเสียอีกด้วยซ้ำ

ทำให้ประมาณการได้ว่าในปี 2558 ที่ผ่านไปนี้ อันดับความเหลื่อมล้ำของไทยน่าจะขยับขึ้นไปอีก...อย่างน้อยก็ขยับสูงกว่าอินโดนีเซีย แสดงว่าเราอาจจะอยู่ในอันดับ 4 หรือ 5 ของโลกแล้วก็เป็นได้

ในความเห็นส่งท้ายที่แนบข้อมูลมาด้วยบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในประเทศไทยจะต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เพราะการที่เกิดความเหลื่อมล้ำสูงในสังคมใดก็ตาม จะเป็นโอกาสให้เกิดความขัดแย้งอย่างสูงขึ้นในสังคมนั้นตามมา และอาจจะกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงหรือบานปลายจนควบคุมไม่ได้ก็เป็นได้

จึงควรตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่าเราจะปฏิรูปประเทศไทยให้หลุดจากอันดับโลกอันไม่งดงามที่ว่านี้ และให้ตัววัดความเหลื่อมล้ำลดลงมาเรื่อยๆ ภายใน 5 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้า

แผนพัฒนาเศรษฐกิจ หรือแนวทางการปฏิรูปประเทศจะต้องกำหนดไว้อย่างชัดเจน ผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลนี้เสนอความเห็นส่งท้าย

ผมเห็นด้วยทุกประการครับ และสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างเต็มที่

ผมเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องแก้ยากหรือปฏิบัติให้เกิดผลยาก เพราะเรารู้มาตั้งนานว่าเรามีปัญหาและพยายามแก้มาไม่ตํ่ากว่า 20-25 ปีแล้วด้วยซํ้า...ผมเองก็เคยอยู่ในขบวนการแก้ไขกับเขานับสิบๆปี แต่ยิ่งทำยิ่งแก้ช่องว่างกลับยิ่งถ่างออก จนน่าท้อใจดังกล่าว

ก็เอาเถอะครับ คนรุ่นผมอาจจะท้อเพราะแก้ไม่ได้ แต่คนรุ่นใหม่ห้ามท้อเด็ดขาด ขอฝากไว้ด้วยละกันสำหรับบิ๊กตู่ที่เป็นผู้นำประเทศไทยในขณะนี้ หรือบิ๊กอะไรก็แล้วแต่เถอะ หรือพลเรือนท่านใดก็แล้วแต่เถอะที่จะมาเป็นผู้นำประเทศไทยในวันข้างหน้า

ช่วยกันทำให้ประเทศไทยหลุดจากอันดับโลกความเหลื่อมล้ำด้วยครับ...จะขอบพระคุณอย่างที่สุดเลยเชียว.


“ซูม”