ฮัลโหล...หนุ่มสาวนักเดินทางทุกคน คุณเคยได้ยินสถานที่ที่ชื่อว่า ทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย มาก่อนหรือเปล่า? ถ้ายังไม่เคย วันนี้จะพาไปทำความรู้จักกัน

I Tour Alone กับฮัมมิ่งเบิร์ดสัปดาห์นี้ จะพาไปตะลุยสะวันนาเมืองไทย ตั้งอยู่บนเกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา ที่นี่คุณจะได้พบกับทุ่งหญ้าสีทองกว้างไกลสุดสายตา รับรองว่าสวยงามไม่แพ้สะวันนาของต่างประเทศ ที่สำคัญเป็นทริปแบบกรีนทัวริซึ่ม (Green Tourism) ซึ่งขาเที่ยวชาวรักษ์โลกกำลังฮิตกันมากๆ เอาล่ะ...ถ้าพร้อมกันแล้ว แบกเป้ตามมาทางนี้เลย

-1-

การเดินทางคราวนี้ใช้งบอยู่มากสักหน่อย เพราะต้องนั่งเครื่องจากดอนเมืองไปลงที่สนามบินภูเก็ต จากนั้นเช่ารถหรือเหมารถแชร์กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง จ.พังงา ซึ่งเราเองก็เพิ่งจะรู้ว่า พังงาอยู่ใกล้ภูเก็ตแค่นี้เอง นั่งรถไม่ถึงชั่วโมง แล้วเดินทางต่อไปยัง คุระบุรี อีกประมาณ 2 ชั่วโมง

...

แต่ถ้าจะให้ดีลองโทรศัพท์ติดต่อรถจากสนามบินภูเก็ตไปคุระบุรีเที่ยวเดียวเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเข้าตัวเมืองพังงาให้เสียเวลา สามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยว จังหวัดพังงา ที่เบอร์ 07 6481 900 หรือติดต่อไปที่เรือข้ามฟากที่ ท่าเรือทุ่งละออง อ.คุระบุรี ขึ้นที่ท่าเรือบ้านทุ่งดาบ หมู่ที่ 1 ต.เกาะพระทอง เป็นเรือเหมา บริการตลอดวัน ราคา 600 บาทต่อลำ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-45 นาที ติดต่อตาเทพที่เบอร์ 08 7993 4331

เนื่องจากเราออกจากกรุงเทพฯ ไฟลต์ 6 โมงเช้า ทำให้มาถึงพังงาเร็วกว่าที่คิด เลยถือโอกาสแวะหาของกินนิดหน่อย ใช้เวลาช่วงที่แดดไม่แรง เดินเที่ยวชิลๆ พอบ่ายคล้อยก็เดินทางไปที่ท่าเรือ เพื่อข้ามฟากไปยังเกาะพระทอง กะว่าให้ถึงที่เกาะช่วงเย็นแล้วเข้าที่พักพอดี

-2-

...

เรือออกจากท่า ล่องข้ามทะเลอันดามันจนมาถึงเกาะพระทอง พระอาทิตย์ก็เลิกงานพอดี เลยได้ทันถ่ายรูปแสงยามเย็นสวยๆ ตอนอยู่บนเรือและตอนขึ้นฝั่ง อ้อ! ลืมบอกไปว่าก่อนลงเรือควรเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นนะ เพราะตอนขึ้นฝั่งที่เกาะจะต้องเดินลุยน้ำสูงประมาณเข่า แถมมีคลื่นซัดมาตลอดเวลา ถ้าใส่กางเกงขายาวได้เปียกกันแน่ๆ 

ขอบอกว่า บนเกาะนี้คุณจะได้สัมผัสธรรมชาติแบบเรียลมากๆ เพราะไม่มีไฟฟ้า หมู่บ้านและรีสอร์ตใช้เครื่องปั่นไฟทดแทน เราเลือกพักที่ มอแกน อีโค่ วิลเลจ (Moken Eco Village) เป็นที่พักแบบกระท่อมแยกเป็นหลังๆ ออกแบบตกแต่งเก๋ไก๋ ภายในห้องพักมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกดีใช้ได้ แต่ไม่มีแอร์ ส่วนที่ชาร์จไฟจะเป็นที่เสียบสาย USB (เพื่อเป็นการประหยัดไฟฟ้า) ที่นี่เป็นแห่งเดียวบนเกาะใช้แผงโซลาร์เซลล์ในการผลิตไฟฟ้า เป็นพลังงานสะอาด ไม่สร้างมลพิษให้ธรรมชาติ คือแบบว่าอีโค่มากๆ

ก่อนหน้านี้ เกาะพระทองเคยประสบภัยสึนามิครั้งใหญ่ คลื่นยักษ์กวาดต้นไม้และสิ่งปลูกสร้างไปจนราบ แต่พอผ่านไป 10 กว่าปี ที่นี่กลับมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น มีต้นสนขึ้นหนาแน่น กุ้ง หอย ปู ปลาในทะเลมีมากขึ้น และตอนนี้มีหอเตือนภัยสึนามิบนเกาะเรียบร้อยแล้ว

...

-3-

กฤษ ศรีฟ้า เจ้าของรีสอร์ตเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของเธอเคยทำธุรกิจโรงแรมมาก่อน แต่พอโดนสึนามิถล่มเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ทำให้โรงแรมเสียหายหนัก มีหนี้สินมากมายต้องพักไปหลายปี จนเมื่อปีที่แล้วได้ตัดสินใจกลับมาทำธุรกิจรีสอร์ตอีกครั้ง ที่นี่มีเสน่ห์ตรงที่บ้านพักอยู่หน้าหาด ใกล้ทะเล ชุมชนรอบๆ ก็เป็นชาวมอแกนดั้งเดิมที่ยังออกเรือหาปลาอยู่ทุกวัน ใครชอบเที่ยวสไตล์วิถีชุมชนและธรรมชาติแท้ๆ แบบนี้น่าจะชอบ

...

นอกจากนี้ ยังเป็นเกาะที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีพืชพรรณเฉพาะถิ่นที่หาได้ยาก เช่น ผักลิ้นห่าน มะมุด ป่าชายหาด ป่าชายเลน ป่าพรุ กล้วยไม้ มะม่วงหิมพานต์ (กาหยี) บางครั้งถ้าโชคดีก็จะได้ชมสัตว์ต่างๆ เช่น กวาง นกแก๊ก (นกเงือกที่เล็กที่สุดในประเทศไทย) นกตะกรุม เต่าทะเล เป็นต้น

ที่สำคัญ ในยามค่ำคืนทางรีสอร์ตมีบริการพาชม ปูเสฉวน ด้วย เราเองตื่นเต้นมากๆ เพราะไม่ได้เห็นปูเสฉวนตัวเป็นๆ มานานมากแล้ว จำความได้คือตั้งแต่เด็กๆ เคยเห็นแค่ครั้งเดียว มาคราวนี้เห็นเป็นฝูง โอ้แม่เจ้า! แต่เนื่องจากปูเสฉวนออกหากินตอนกลางคืน จึงต้องชมด้วยการส่องไฟ บางตัวใหญ่ยักษ์มากๆ ใหญ่เท่าฝ่ามือแน่ะ! เวลาเดินชมก็ระวังด้วยนะ อย่าเหยียบโดนน้องปูซะก่อนล่ะ

-4-

ส่วนไฮไลต์บนเกาะที่ทำให้เราดั้นด้นมาถึงที่นี่ ก็เพื่อที่จะมาตามล่าวิวงามๆ ของ ทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย (Savanna) งานนี้เราออกเดินทางพร้อมนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ กันแต่เช้ามืด โดยใช้บริการรถอีแต๊กนำเที่ยวของชาวบ้าน เรามาถึงจุดชมวิวประมาณ 6 โมงนิดๆ พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า พอแสงแรกแทรกสาดมากระทบทุ่งหญ้าเท่านั้นแหละ ก็เห็นท้องทุ่งสีทองทอดยาวอยู่ตรงหน้า พร้อมฉากหลังต้นไม้ทรงแปลกตาเต็มไปหมด

จริงๆ แล้วหญ้าชนิดนี้ก็คือ หญ้าเสือหมอบ ต้นอ่อนของมันเป็นอาหารหลักของกวางบนเกาะ นอกจากนี้ยังมีพืชแปลกอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีทั้ง ป่าต้นเสม็ดขาว ลำต้นจะมีเยื่อบางๆ ลอกออกมาได้ตลอดปี สมัยก่อนเอาไปทำขี้ไต้ ไว้สำหรับเป็นเชื้อไฟหุงต้มในครัวเรือน ปัจจุบันเปลือกต้นเสม็ดเอาไปทำกระดาษ

อีกอย่างที่น่าสนใจ คือ บัวบา หรือตับเต่าใหญ่ มีชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ ว่า Water snowflake เป็นบัวจิ๋วชนิดหนึ่งที่กลีบดอกฟูๆ ยื่นออกมา สวยเหมือนเกล็ดหิมะ ทั่วไปมักมีสีขาวและสีเหลือง แต่เราเจอดอกสีขาวอยู่ประมาณ 2-3 ดอก คือดอกมันเล็กมากจริงๆ ขนาดไม่เกินเหรียญบาท กว่าจะเก็บภาพมาได้ นี่ต้องลุยขี้เลนลงไปเลยทีเดียว แต่ก็คุ้มค่านะเออ ส่วนรอบบึงน้ำมีต้นกระดุมเงินเล็กๆ ขึ้นกระจายอยู่หลายกอ

เฮ่อ…อากาศก็ดี แดดก็ไม่ร้อน ขากลับได้เดินเล่นเลาะริมชายหาด สูดอากาศแสนสดชื่น เดินชมวิวชิลๆ แบบนี้ก็ฟินดีเหมือนกันนะ ธรรมชาติช่างรังสรรค์ความงามเหล่านี้ได้ลงตัวจริงๆ ใครอยากฟินแบบนี้บ้าง ต้องมาลองสัมผัสเองถึงจะรู้!