ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อ YouGov บริษัทสำรวจวิจัยทางอินเตอร์เน็ตของสหรัฐฯได้เผยแพร่ ผลสำรวจความคิดเห็นของคนอเมริกัน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ในประเด็น “การปฏิวัติจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯได้จริงหรือ?” แล้วผลสำรวจที่ออกมาก็สร้างความเซอร์ไพรส์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อ ชาวอเมริกัน 1 ใน 3 หรือ 29% ให้ความเห็นว่า จะให้การสนับสนุนการปฏิวัติ หากกองทัพสหรัฐฯลุกขึ้นมาปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลพลเรือน

ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวช็อกโลกเลยทีเดียว ทุกวันนี้ สหรัฐฯ ประกาศตัวเป็น เจ้าพ่อประชาธิปไตย ต่อต้านการยึดอำนาจในทุกประเทศทั่วโลก แต่คนอเมริกันกลับสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศสหรัฐฯเสียเอง

การสำรวจความเห็นครั้งนี้ ยูโกฟ สำรวจผ่านทางอินเตอร์เน็ตจากตัวอย่างผู้ถูกสำรวจจำนวน 1,000 คน ผลการสำรวจพบว่า ตัวอย่างที่เป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน 43% ให้ความเห็นว่า จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ หากกองทัพสหรัฐฯก่อการปฏิวัติรัฐยึดอำนาจจากรัฐบาลกลาง และ สมาชิกพรรคเดโมแครตบอกว่าจะให้การสนับสนุน 20% ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีความเห็นทางการเมืองอิสระมี 29% ที่สนับสนุนการปฏิวัติ

ไม่ว่าตัวเลขผู้สนับสนุนการปฏิวัติในสหรัฐฯจะมีมากหรือน้อย ก็เป็นข้อมูลที่น่าเซอร์ไพรส์ทั้งสิ้น ไม่มีใครคาดคิดว่า ประเทศที่เป็นแม่แบบประชาธิปไตยมานานกว่า 200 ปีจนฝังรากลึกวันนี้จะมีประชาชนสหรัฐฯคิดสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศตัวเอง

ยิ่งเซอร์ไพรส์ เมื่อถามว่า “จะให้การสนับสนุนกองทัพลุกขึ้นมาควบคุมอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน ซึ่งกำลังฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรือไม่” จำนวนผู้สนับสนุนการปฏิวัติก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยมีผู้ตอบรับให้การสนับสนุนการปฏิวัติสูงถึง 43% และผู้ตอบว่าไม่สนับสนุนมีเพียง 29%

ไม่น่าเชื่อว่าความคิดเรื่อง “การปฏิวัติ” จะเกิดขึ้นในสมองประชาชนชาวอเมริกัน

...

สิ่งสำคัญที่ ทำให้คนอเมริกันเปลี่ยนไป ก็คือ ความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ของ รัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในช่วง 6–7 ปีที่ผ่านมา ทำให้คุณภาพชีวิตของคนอเมริกันแย่ลงไปเรื่อยๆ ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยถ่างกว้างขึ้น คนรวยก็รวยขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด แต่คนจนก็ขาดโอกาสลงไปเรื่อยๆ ท่ามกลางการเมืองสองพรรคที่ล้มเหลว แต่ประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เลือกพรรครีพับลิกันก็ต้องเลือกพรรคเดโมแครต เหมือนการเมืองในประเทศไทยก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบกจะปฏิวัติยึดอำนาจ

ก่อนหน้านี้ แกลล๊อบโพล บริษัทสำรวจวิจัยชื่อดังอีกแห่งของสหรัฐฯก็ได้เผยแพร่ผลการสำรวจ ความพึงพอใจของคนอเมริกันในเดือนสิงหาคม พบว่า มีชาวอเมริกันเพียง 26% เท่านั้นที่รู้สึกพึงพอใจต่อความเป็นไปของประเทศสหรัฐฯในเวลานี้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ลดลงจากระดับ 30% ในการสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม

แกลล๊อบ โพล ได้ตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้งขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐฯในต้นปี 2009 เป็นต้นมา ระดับความพึงพอใจเฉลี่ยของชาวอเมริกันที่มีต่อภาพรวมของประเทศไม่เคยสูงเกินระดับ 27% เลยแม้แต่ปีเดียว สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศของ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา

สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมิชิแกน ก็ได้เปิดเผยผลการสำรวจ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯเบื้องต้นเดือนกันยายนลดลงสู่ระดับ 85.7 จาก 91.9 ในเดือนสิงหาคม ต่ำกว่าระดับ 91.1 ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังอ่อนแอ

ผลสำรวจของ “ยูโกฟ” ครั้งนี้ ไม่ว่าจะมีความน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ได้สะท้อนให้ ผู้นำรัฐบาลทั่วโลก ได้เห็นก็คือปากท้องต้องมาก่อนประชาธิปไตย ถ้าประชาชนท้องอิ่ม ประชาธิปไตยก็เข้มแข็ง ถ้าประชาชนท้องหิวเมื่อไหร่ ประชาธิปไตยก็อ่อนแอทันที ไม่ว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญให้มีอำนาจเข้มแข็งแค่ไหนก็ตาม.

“ลม เปลี่ยนทิศ”