วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2558 กลายเป็น วันจันทร์ทมิฬ Black Monday ที่ต้องบันทึกไว้อีกรอบ เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงกันอย่าง หนัก หลังจากที่ ตลาดหุ้นดาวโจนส์สหรัฐฯ ทำสถิติร่วงหนักกว่า 358 จุด และ 530 จุด เมื่อวันพฤหัสฯและศุกร์ หลังจากที่ ดัชนี PMI จีนร่วงไปอยู่จุดต่ำสุด 47.1 จุด สะท้อนถึงเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงอย่างมาก
เปิดตลาดวันจันทร์ ดัชนีราคาหุ้นจึงร่วงกันทั่วโลกอย่างรุนแรงทุกตลาด
ช่วงบ่ายแก่ๆวันจันทร์ที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับนี้ ดัชนีหุ้นนิกเกอิญี่ปุ่น ปิดตลาดไปแล้ว ติดลบไป 895.15 จุด ลบไป 4.61% หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร กลุ่มขนส่งทางบก ร่วงหนักที่สุด ดัชนีหุ้นหั่งเส็งฮ่องกง ติดลบไป 1,158.05 จุด ลบไป 5.17% ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีน ติดลบไป 297.84 จุด ติดลบไป 8.49% ดัชนีหุ้นเซ็นเซ็กซ์อินเดีย ติดลบไป 1,412.74 จุด ติดลบไป 5.16% ตลาดหุ้นไทย ติดลบไป 64.55 จุด ลบไป 4.73% ตลาดยุโรปเปิดมาก็แดงเถือกเกิน 100 จุดกันเกือบทั้งทวีป
ราคาน้ำมันดิบเวสท์เท็กซัสสหรัฐฯ ก็ร่วงไป 1.28 เหรียญ อยู่ที่ 39.17 เหรียญต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษ ก็ร่วงไป 1.58 เหรียญ อยู่ที่ 43.88 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงต่อเนื่อง ก็เนื่องมาจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว เพราะจีนบริโภคน้ำมันสูงถึง 12% ของน้ำมันที่ทุกประเทศบริโภคกันทั่วโลก เมื่อจีนบริโภคลดลงก็เหลือกันบานเบิก ไม่รู้อีกกี่ปีจึงจะฟื้นไข้
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นับตั้งแต่ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน แล้วก็ลดลงต่อเนื่อง จากวันนั้นถึงวันนี้ ความมั่งคั่งในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้หายไปแล้วกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 142 ล้านล้านบาท ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางจีน เพิ่งอัดฉีดเงินรอบใหม่เข้าสู่ระบบอีก 120,000 ล้านหยวน ราว 18,770 ล้านดอลลาร์ ราว 666,000 ล้านบาท แต่ก็เอาไม่อยู่
...
เมื่อวันอาทิตย์ รัฐบาลจีน จึงออกมาตรการใหม่อีก อนุญาตให้ กองทุนบำเหน็จบำนาญ ที่มีเงินอยู่ 547,000 ล้านดอลลาร์ (ตัวเลขสิ้นปี 2014) นำเงิน 30% ของกองทุน 164,100 ล้านดอลลาร์ ราว 5.8 ล้านล้านบาท เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อหวังกอบกู้ความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา แต่ก็กอบกู้ไม่สำเร็จ เพราะปิดตลาดวันจันทร์ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ร่วงลงไปอีก 297.84 จุด ร่วงลงไปอีก 8.49%
วันนี้ เศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีจีดีพีอยู่ที่ 17.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เล็กกว่าสหรัฐฯเพียงนิดเดียว จีดีพีสหรัฐฯอยู่ที่ 18.124 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นตัวเลขสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปี 2015 คือปีนี้ ตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯข้อมูลเร็วมาก ไม่ล่าช้ากันครึ่งค่อนปีอย่างไทย จนเอาไปอ้างอิงอะไรไม่ได้ นอกจากอ้างอิงเป็นประวัติศาสตร์
แค่ จีดีพีจีน กับ จีดีพีสหรัฐฯ รวมกัน ก็ปาเข้า เกือบครึ่งหนึ่งของจีดีพีโลก เมื่อจีนป่วยหนัก สหรัฐฯเตรียมขึ้นดอกเบี้ย (ที่ยังไม่บอกว่าจะขึ้นเมื่อไหร่) ก็ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกป่วย และเลือดไหลออกกันไม่หยุด โดยเฉพาะเงินทุนต่างประเทศที่ไหลออก
จากข้อมูลที่ผมเอามาเล่าสู่กันฟัง แค่ “น้ำมันดิบ” อย่างเดียว จีนประเทศเดียวก็บริโภคถึง 12% เมื่อจีนลดการซื้อน้ำมันดิบลง ประเทศส่งออกน้ำมันทั้งโลกก็ป่วยตาม ไม่ว่าแขกอาหรับในตะวันออกกลาง หรือเพื่อนบ้านไทยอย่าง มาเลเซีย ที่กำลังมีข่าวว่าเงินทุนสำรองประเทศไหลออกจนร่อยหรอ อาจจะต้องทำ Capital Control ควบคุมเงินทุน ป้องกันเงินทุนไหลออก
กลับมาดู เศรษฐกิจไทย กันบ้าง วันนี้ผมคิดว่า ไทยคงต้องเลิกคิดพึ่งการส่งออกเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจได้แล้ว เพราะกำลังซื้อป่วยกันทั้งโลกแล้ว
ผมเห็นด้วยกับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯเศรษฐกิจคนใหม่ ที่เพิ่งประกาศมาตรการกอบกู้เศรษฐกิจด้วยการ อัดฉีดเงินลงเศรษฐกิจรากหญ้า และ การลงทุนในท้องถิ่น ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วครับที่ ไทยต้องพึ่งไทย ถ้ารัฐบาลสามารถทำให้ คนรากหญ้า 40–50 ล้านคนเงยหน้าอ้าปากได้ เศรษฐกิจไทยก็ไปโลด เรื่อง รถไฟไทย–จีน 400,000 ล้านบาท เก็บใส่หิ้งได้แล้วครับ ยามนี้เงินทองเป็นของหายาก เรื่องอะไรรัฐบาลจะเอาเงินภาษีคนไทยตั้ง 400,000 ล้านบาทไปลงทุนให้จีนขนสินค้าลงทะเลอ่าวไทย ไม่รู้คิดได้ยังไง เอาไปแจกคนไทยใช้เล่น กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ยังจะคุ้มค่ากว่าไปสร้างรถไฟให้จีน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”