เผลอแผล็บเดียวล่วงเข้าสู่ครึ่งปีหลังเข้ามาแล้วแต่ดูเหมือนว่า สถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองดูไม่ค่อยจะดีนักด้วยเหตุทั้งในประเทศและต่างประเทศล้วนเข้ามาผสมโรงโดยมิได้นัดหมายจนให้ทุกอย่างกลายเป็น “ข่าวร้าย” ไปเสียหมด
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา
ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นสัญญาณความวิตกกังวลของประชาชนที่มีต่อความเป็นไปของประเทศในทุกด้าน
นั่นย่อมส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก
มีข้อเสนอแนะว่าจุดอันตรายต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คืนกลับมาให้เร็วที่สุด
ด้วยการกระตุ้นกำลังซื้อให้ได้ในไตรมาสที่ 3 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นไม่ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้ เพราะมิฉะนั้นจะเรียกกลับคืนมาได้ยาก
จะคิดจะทำกันอย่างไรก็รีบทำเสียก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้
แม้กระทั่งเรื่องความมั่นคงที่เป็นจุดแข็งที่สุดนับแต่ คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ แต่มาถึงวันนี้ดูท่าว่าจะถูกสั่นคลอนจนคิดว่ากำลังจะเดินไปสู่จุดเสื่อมได้
ทางที่ดีที่สุดก็คือการคลายปมปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นเพื่อปลดล็อกแนวต้านที่จะต้องใช้ความละเอียดอ่อนเข้าแก้ไข
แน่นอนว่าหากมองภาพรวมแล้วประชาชนส่วนใหญ่จะยังให้
การสนับสนุนรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหา จัดระเบียบประเทศกันใหม่ สร้างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ รวมถึงการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน
เป็นความเชื่อมั่นที่ทำให้ คสช.มั่นใจว่าจะทำให้สามารถบริหารประเทศต่อไปได้จนกว่าจะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จและจัดให้มีการเลือกตั้งตามโรดแม็ปที่วางเอาไว้
มันจึงขึ้นอยู่กับว่าจากนี้ไปจะบริหารจัดการต่างๆให้ราบรื่นต่อไปได้หรือไม่ เพราะนับวันยิ่งพบกับอุปสรรคมากขึ้นทุกที
...
อันเป็นแรงกดดันที่ยกระดับและขยายวงกว้างมากขึ้น
เหล่านี้ล้วนเป็นแรงบวกที่ส่งผลต่อภาพรวมของประเทศอย่างชัดเจน และทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนลดระดับลงไป เรื่อยๆ ย่อมทำให้เศรษฐกิจที่มีปัญหาอยู่แล้วตกต่ำลงไปอีก
สิ่งที่ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งสำหรับปัญหาของประเทศนี้ ที่หมักหมมกันมานาน พอไปรื้อไปแก้มันจึงยุ่งเหยิงเพราะจะมีทั้ง แรงหนุนและแรงต้าน
ยกตัวอย่างปัญหาหาบเร่แผงลอยบนทางเท้าที่กว่าจะจัดการได้ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจจากผู้ที่ทำมาค้าขายทั้งๆที่กระทำผิดและเอาเปรียบประชาชนที่ควรจะใช้ทางเท้าได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อมีการแก้ไขและจัดการที่ดีทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดี
วันนี้ปัญหาการประมงที่อียูให้ “ใบเหลือง” ประเทศไทยก็เช่นกันเนื่องจากปัญหาในการกระทำผิดสะสมจนกลายเป็นเรื่องถูก เมื่อรัฐบาลเอาจริงเอาจังให้ทำถูกกฎหมายก็ไม่พอใจทำการประท้วงอ้างโน่นอ้างนี้คิดแต่เอาประโยชน์ แต่ไม่ได้คิดถึงส่วนรวม
ทั้งๆที่รู้ดีว่าหากไม่สามารถกระทำได้ตามเงื่อนไขที่อียูกำหนดจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่เรือประมงเท่านั้น แต่มันหมายถึงผลประโยชน์ของประเทศที่จะต้องเสียไปปีละ 2 แสนล้านบาท
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นหน้าที่ของรัฐบาล คสช.จะต้องจัดการ เพราะปัญหาหนึ่งย่อมกระทบไปอีกปัญหาหนึ่งตามวัฏจักรที่เชื่อมโยงถึงกัน
ถึงเวลาที่จะต้องหยุดข่าวร้ายสร้างข่าวดีให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและประชาชนให้ไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างน้อยก็ทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้นตัวให้เป็นรูปธรรม.
“สายล่อฟ้า”