เป็นอันว่าช่องไทยทีวี 17 และโลก้า 15 ทางทีวีดิจิตอล จะเริ่มจอดำตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคมเป็นต้นไป จากถ้อยแถลงล่าสุดของ “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” ผู้ประมูลทั้ง 2 ช่องนี้ไว้ และประสบปัญหาการขาดทุนจนไม่สามารถชำระเงินค่าประมูลงวดที่ 2 ได้ดังที่เป็นข่าว

คุณ พันธุ์ทิพา ศกุนต์ไชย หรือเจ๊ติ๋ม ทีวีพูล แถลงไว้ตอนหนึ่งในวันกล่าวอำลาของเธอว่า จะหันกลับไปทำรายการกับช่อง 5 พันธมิตรเก่าและทำทีวีดาวเทียมต่อไปเหมือนเดิม

ถ้าใบอนุญาตดาวเทียมเดิมถูกยึดก็จะไปร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ รวมทั้งได้เตรียมการขอใบอนุญาตใหม่ไว้แล้ว

ส่วนเงินประมูลงวดที่ 2 รวม 1,634 ล้านบาท ที่เธอจะต้องจ่ายให้ กสทช. ตามกฎกติกานั้น เป็นประเด็นทางกฎหมายที่ทนายความของเธอกำลังดำเนินการอยู่ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องจ่าย เธอก็พร้อมจ่าย

“คิดเสียว่าชาติที่แล้วคงไปโกงใครเขามา เราเป็นคนยึดหลักธรรมะ และเน้นการปลง...คนเราเกิดมาตัวเปล่า ตายแล้วก็ไปตัวเปล่า”

“มาถึงวันนี้เราจะยืนอยู่ในที่ของเรา เรามาจากรากหญ้าก็จะอยู่อย่างรากหญ้า ต่อไปนี้จะไม่ทะเลาะกับใครอีกแล้ว ไม่ตั้งตัวเป็นคู่แข่งกับใคร จะเป็นมิตรกับทุกคน” เจ๊ติ๋มกล่าวอย่างปลงตก พร้อมกับทิ้งท้ายว่า

“พี่คิดว่าช่องอื่นๆ น่าจะได้อานิสงส์จากการยกเลิกช่องของพี่ที่ทำให้ กสทช.ต้องกลับไปมองว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยช่องที่เหลือได้บ้าง ขณะนี้เหลือผู้ประกอบการทั้งสิ้น 16 ราย 22 ช่องแล้ว พี่ก็อยากให้ไปรอดทุกช่องและพร้อมเป็นพันธมิตรกับทุกคน”

ทั้งหมดนี้ผมคัดลอกมาจากหน้าข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐครับ และเมื่อคัดลอกจบแล้ว ก็อยากจะส่งดอกไม้ไปให้เจ๊ติ๋มสักหนึ่งช่อ ในฐานะผู้กล้าหาญตัวจริง เสียงจริง ของยุทธจักรทีวีดิจิตอล

เมื่อแพ้ก็ยอมรับว่าแพ้ และหากจะต้องจ่ายเงินก้อนมหาศาลก็พร้อมจะจ่าย แต่ก็จะไม่ยอมท้อถอยหรือหมดอาลัยในชีวิตอย่างเด็ดขาด

...

พร้อมที่จะสู้ต่อโดยจะไปเริ่มเตาะแตะเพื่อไต่เต้ากลับมาอีกครั้งตามสไตล์คนรากหญ้าที่เติบโตมาจากรากหญ้าที่เธออุปมาอุปไมยไว้

ที่สำคัญคำพูดของเธอประโยคหนึ่งที่ผมคิดว่า กสทช. สมควร จะเก็บไปคิดต่อ...ได้แก่คำพูดที่ว่าการยอมแพ้ของเธอน่าจะเป็นอานิสงส์ให้ กสทช. ต้องกลับไปมองว่าจะช่วยช่องที่เหลือได้อย่างไรบ้าง

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา นอกจาก กสทช.จะไม่ได้ช่วยอะไรมากในกรณีวิบากกรรมทีวีดิจิตอลที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีแต่จะออกมาอ้างกฎอ้างกติกาจะเอาเป็นเอาตายกับผู้ประมูลอย่างไม่ลดละ

ทั้งๆ ที่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีวีดิจิตอลตกอยู่ในสภาพหนักหนาสาหัสอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะการบริหารจัดการที่ไม่เป็นไปตามแผนและหย่อนประสิทธิภาพของ กสทช.นั่นเอง

ผมจึงเห็นด้วยที่เจ๊ติ๋มกล่าวว่าการคืนช่องของเธอ น่าจะมีส่วนทำให้ กสทช. หาทางช่วยเหลือช่องอื่นๆที่ยังจ่ายเงินงวด 2 อยู่ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่รอดไปถึงตอนจ่ายเงินงวดหน้าอีกหรือไม่

ผมมิได้เข้าข้างเจ๊ติ๋มหรือผู้ประกอบการใดๆ แต่ไม่อยากให้เกิดภาพที่ว่ารัฐจะเอาแต่ได้อย่างเดียว โดยไม่ยอมเสียอะไรเลย

ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐไทยเรามักยืนอยู่ในจุดนี้ตลอด ในทุกๆสัญญาทุกๆสัมปทานที่เหมือนหลอกให้ภาคเอกชนมาประมูล พอได้เงินแล้วก็ไม่ดูดำดูดีอะไรทั้งสิ้น

เบี้ยวข้อตกลงภาคเอกชนก็มีดื้อๆ จนโดนฟ้องขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นความแพ้ภาคเอกชนไปหลายๆกรณี

แต่ก็ยังมีอีกมากกรณีที่ภาคเอกชนเขาไม่อยากเป็นความก็กัดฟันหวานอมขมกลืนไปจนหมดสัมปทานโดยไม่ปริปากพูด

ผมจึงอยากจะเห็นภาครัฐให้ความเป็นธรรมและเคียงบ่าเคียงไหล่กับภาคเอกชนที่เข้ามาประมูลเรื่องอะไรก็ตาม อย่างเพื่อนร่วมชะตากรรม... สำเร็จด้วยกัน ล้มเหลวด้วยกันและช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ซึ่งถ้าแก้สำเร็จผู้ได้รับผลประโยชน์ขั้นสุดท้ายก็คือประเทศไทยและคนไทยเราทั้งชาตินั่นแหละครับ มิใช่ใครที่ไหนอื่น

กสทช. ประกอบด้วยคณะกรรมการที่มีความรู้ ความคิด ความทันสมัยและหน่วยงานภาคปฏิบัติหรือสำนักงาน กสทช. ก็เต็มไปด้วยคนมีความรู้ ความคิด ความทันสมัย

ควรจะรับฟังที่เจ๊ติ๋มชี้ช่องไว้นะครับว่าจะช่วยทีวีดิจิตอลอย่างไรบ้าง... อย่ามัวไปเถรตรงหรือคิดแคบๆแบบระบบราชการดั้งเดิมอยู่เลยครับ.

“ซูม”