นายกฯ ชู ไทยเดินหน้าสู่ศูนย์กลางอาหารโลก หนุนแปรรูปอาหารเพิ่มมูลค่า เร่ง ช่วยเกษตรทุกด้าน ให้สามารถยืนบนขาตัวเองได้ ลดต้นทุนการผลิต-จัดโซนนิ่งเพาะปลูก ปลื้ม! ตัวเลขท่องเที่ยว-ศก.ไทย ขยายตัวร้อยละ 3

วันที่ 22 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ออก โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ รายการคืนความสุข เพื่อกล่าวกับประชาชนชาวไทย มีใจความว่า

สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกคนสัปดาห์นี้ โรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ ก็เริ่มเปิดภาคเรียนแล้วนะครับ การศึกษานั้นผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลนี้ได้ให้การสนับสนุนดูแลมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ก็ได้มีมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยการจัดสรรงบประมาณอุดหนุน ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งสายอาชีพด้วย นะครับ ซึ่งรวมความไปถึงค่าจัดการเรียนการสอนค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียนคนละ 2 ชุดต่อปีนะครับ แล้วก็ค่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนสำหรับกิจกรรมลูกเสือ, เนตรนารี, ทัศนศึกษา, คอมพิวเตอร์ เป็นต้นนะครับ

สำหรับเรื่องการศึกษานั้น ผมขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับเยาวชนไทย ที่ได้ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยของเรา ในการประกวดผลงานทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ “ไอเซฟ” นะครับ ที่จัดขึ้นที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาของไทย ในเรื่อง “การศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อการพ่นใยเพื่อผลิตแผ่นใยไหม” ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศ มานะครับ ประเภทสัตวศาสตร์ ผลงานนี้พัฒนาโดย  1) นายนัทธพงศ์ เชื้อศิริถาวร  2) นายธนานนท์ หิรัณย์วาณิชชากร  และ 3) นางสาวสุทธิลักษณ์ รักดี จากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย นะครับ ความจริงเยาวชนของคนไทยนั้น ส่งผลงานเข้าประกวด ทั้งหมด 5 รายการ และประสบความสำเร็จโดยคว้ามาได้ถึง 9 รางวัล ในรายการนี้นะครับ ก็ขอแสดงความยินดีและชื่นชมทุกคน ตั้งแต่ตัวเยาวชนเอง อาจารย์ ผู้ปกครอง รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย นะครับ ความสำเร็จครั้งนี้ถือว่า เป็นก้าวสำคัญ ของลูกหลานเยาวชนไทย ซึ่งถ้าได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่ว่าจากทั้งภาครัฐ หรือ ภาคเอกชน นำไปขยายผลจนนำไปสู่ภาคการผลิตเชิงอุตสาหกรรม เชิงพาณิชย์ ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต นะครับ เป็นภูมิปัญญาของลูกหลานของเราเอง ทั้งนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น ต่างเริ่มจากจุดนี้ เราต้องใช้เวลาที่มีอยู่ให้เร็วที่สุด นะครับ ช่วยกันพัฒนาให้สามารถที่จะก้าวทันประเทศอื่นๆ ได้นะครับ หากเรายังคงใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากต่างประเทศ มาทั้งหมดนั้น แล้วไม่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาภายในประเทศ เราก็คงจะเป็นผู้ตามอารยะประเทศอยู่ร่ำไป แล้วก็ต้องจัดหาซื้อมาต่างๆ ซึ่งมีราคาสูง เราต้องเร่งการผลิตให้ได้ นะครับ จากผลการวิจัยและพัฒนา ซึ่งผมได้เรียนไปหลายครั้งแล้ว รัฐบาลให้ความสำคัญในแนวทางดังกล่าวนี้ นะครับ ได้มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ

...

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้กำหนดนโยบายที่ชัดเจน มีมาตรการสำคัญในการที่จะนำพาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนนะครับ อาทิ เช่น ด้านนวัตกรรมก็ประกอบไปด้วยการขึ้นบัญชี นวัตกรรมไทย, การใช้ตลาดภาครัฐนำร่องเปิดตลาดให้กับสินค้าบริการนวัตกรรมของไทยนะครับ, การให้ภาครัฐสามารถจัดซื้อสินค้า บริการที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมได้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 แต่ไม่เกินร้อยละ 30 นะครับ ของงบประมาณที่ได้รับ อันนี้จะต้องผ่านการรับรองมาตรฐานของเราเองซะก่อน นะครับ แล้วก็ไปผ่านมาตรฐานต่างประเทศ ในระยะต่อไปด้วยนะครับ ใช้ในประเทศให้ได้ก่อน

ด้านการสร้างความเข้มแข็งของ SMEs ก็ดำเนินการโดยการขยายผล โครงการที่ปรึกษาเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อช่วยผู้ประกอบการในการแก้ไขปัญหาเชิงเทคนิค ซึ่งก็ตั้งเป้าหมายการพัฒนาผู้ประกอบการ ประมาณ 13,000 ราย นะครับ รัฐก็จะร่วมมือกับภาคเอกชน จะร่วมสนับสนุนงบประมาณ 1 ใน 3 ราวประมาณ 5,000 ล้านบาท นะครับ แล้วก็คาดว่า จะทำให้เกิดผลดีต่อ SMEs ทั้งในเรื่องของการเพิ่มกำไร ลดต้นทุน การเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งในเรื่องของการเพิ่มการลงทุน การจ้างงานคิดเป็นมูลค่าประมาณ 90,000 ล้านบาท ภายใน 6 ปีนะครับ สำหรับด้านแหล่งเงินทุน ก็มีการจัดตั้งกองทุน ที่จะระดมเงินร่วมลงทุนในลักษณะ ฟัน ออฟ ฟัน (Fund of Funds) นะครับ โดยจะลงทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุนที่จัดตั้งโดยมหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัย, เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมในเชิงธุรกิจ แล้วก็การจัดตั้งที่เกิดจากผลงานวิจัย ของมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยด้วย นะครับ ในเรื่องการส่งเสริมธุรกิจ SMEs นั้น ผมทราบดีนะครับ ว่า มันมีธุรกิจหลายอย่างด้วยกัน เราก็จำเป็นต้องส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ ทุน งบประมาณต่างๆ ที่สนับสนุน แต่ข้อสำคัญ คือ ทุกคนต้องเข้ามาขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อยนะครับ เราจะได้รู้ว่า เราจัดระเบียบของท่านได้ จัดความต้องการของท่านได้ และจัดการสนับสนุน หรือ จัดสิทธิประโยชน์ให้กับท่านได้นะครับ ถ้าไม่มาขึ้นทะเบียน ไม่มาติดต่อกันเลย เราก็ไม่สามารถจะสนับสนุนได้อย่างทั่วถึงนะครับ จะได้พิจารณาได้ว่าจะใช้งบประมาณอย่างไร ใช้วิธีการอย่างไรนะครับ อันนี้ก็ได้ให้ สสว. ไปติดตามเรื่องนี้อยู่แล้วนะครับ

เรื่องของการบริหารจัดการภาครัฐนั้น เราจะเน้นบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ ในทุกมิตินะครับ เข้าใจดีว่าวันนี้ รัฐนี่มีข้าราชการจำนวนมากพอสมควรนะครับ แต่วันนี้ ถ้าเราบอกว่า ต้องลดข้าราชการเลยที่เดียว มันคงอาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้เรามีข้าราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ก็เป็น อบท. เหล่านี้ แล้วก็ภาคประชาสังคม ทุกภาคส่วนต้องเข้มแข็งให้เห็นก่อน นะครับ ถ้าเห็นก่อนนี่เราก็สามารถจะลดลงได้นะครับ ไปส่งเสริมภาคเอกชน ภาคประชาสังคม แล้วรัฐก็ถอยหลังมาเป็นผู้กำกับดูแล ผู้อำนวยความสะดวก ทางด้านกฎหมาย ด้านสิทธิประโยชน์ ด้านอะไรต่างๆ เหล่านี้ ผมว่า มันจะเร็วขึ้นนะครับ อันนี้ผมเข้าใจดี การจะปฏิรูป ลดหน่วยงาน ลดข้าราชการ ผมอยากให้ไปทำในขั้นตอนการปฏิรูปนะครับ วันนี้ผมอยากให้ทำงานขณะนี้ให้ได้ก่อน แก้ปัญหาให้ได้ก่อน แล้วเดินหน้า ขั้นต้นของการปฏิรูปให้ได้ก่อนนะครับ ส่วนภาคประชาสังคมก็ต้องมาช่วยกัน อย่าเพิ่งมาขัดแย้งกันเลยในขณะนี้ นะครับ ผมเข้าใจถึงความห่วงใยของทุกภาคส่วนนะครับ ต้องเข้มแข็งก่อนจะไป อบท. แล้วก็ในส่วนภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ถ้าท่านคิดเหมือนกัน ตรงกัน จัดกลุ่มได้แล้วเราจะเดินหน้าไปด้วยกัน ถ้าอย่างนี้ จัดกลุ่มกันมา ผมจะได้รู้ว่าทั้งประเทศนี่มันเข้มแข็งสักแค่ไหน วันนี้ก็ผมได้ยินแต่ข้อความห่วงใยอะไรต่างๆ แต่ท่านก็ต้องพูดถึงกลุ่มของท่านเองด้วย ว่า ท่านพร้อมแค่ไหน อย่างไรนะครับ อย่าหวังแต่เพียงให้รัฐไปสนับสนุนอย่างเดียว มันคงไปไม่ได้ทั้งหมดนะครับ ในส่วนของการบูรณาการร่วมกันนั้น อาทิ เช่น กระทรวงแรงงาน นะครับ วันนี้ก็ต้องกำหนดตลาดแรงงาน ความต้องการแรงงานเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน แล้วก็เตรียมการเขตเศรษฐกิจพิเศษ แล้วก็แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต้องระมัดระวังนะครับ การเตรียมแรงงานต้องเพียงพอ สอง ก็คือไม่เกินจนเกินไป สามไม่มีคนมาใช้ประโยชน์จากตรงนี้

ในเรื่องของการค้ามนุษย์ด้วย เก็บแรงงานไว้เยอะๆ แล้วเอาไว้ส่งบริษัทโน้น บริษัทนี้ ต้องไม่เกิดขึ้นนะครับ มันเข้าผิดกฎหมายการค้ามนุษย์ด้วยนะครับ การเคลื่อนย้ายแรงงานที่จดทะเบียนขั้นต้นแล้วนะครับ แล้วก็ยังไม่ครบ 1 ปี ก็ย้ายไปที่อื่นเหล่านี้ มันเป็นการทำให้เกิดความสับสน วุ่นวาย ในระบบ นะครับ ผมได้ย้ำกระทรวงแรงงานไปแล้ว

เรื่องของกระทรวงศึกษานะครับ เราก็ต้องพร้อมในเรื่องของการผลิตแรงงานที่มีฝีมือ ในระดับหัวหน้า หรืออะไร ที่จะขับเคลื่อน สั่งการ รับคำสั่งเป็นภาษาต่างประเทศได้ เพื่อจะป้อนภาคการผลิต หลายส่วนนะครับ 7-8 กิจกรรมในการที่เรามีความพร้อมในการเข้าสู่อาเซียน มีกิจกรรมที่เรามีศักยภาพอยู่หลายอย่าง ด้วยกันนะครับ เราต้องป้อนโครงการเหล่านี้ด้วย ในส่วนของกระทรวงเกษตร กระทรวงอุตสาหกรรม เราก็ต้องกำหนดปริมาณความต้องการผลผลิตนะครับ ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ในการหาตลาดระบายสินค้า ทั้งภายในและต่างประเทศนะครับ กระทรวง ICT สนับสนุนทุกกระทรวง ในด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งกระทรวงการคลัง ต้องสนับสนุนในเรื่องแหล่งเงินทุนนะครับ ในเรื่องของการที่จะให้ทั้งระบบมีการ บูรณาการต่อเนื่องกันได้นั้น ผมอยากจะให้มอง อาทิ ผลิตผลการเกษตรนี่ เรามองในเรื่องราคาอย่างเดียวมันคงไม่ได้นะครับ เพราะราคามันปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ในตลาด ในตลาดโลกด้วย ในระดับอาเซียนด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น ผมก็อยากจะให้ทุกคนคำนึงถึงว่า เรากำหนด “ดีมานด์” กันหรือยัง ว่า มีความต้องการอย่างไร แค่ไหน ในประชาคมโลกอื่นๆ นะครับ ไกลๆ

อันที่สองก็คือ อาเซียนด้วยกัน อันที่สามใช้ในประเทศ อันที่สี่ใช้ในชุมชน ถ้าเรากำหนด 4 อย่างนี้ได้ มันก็คือคำตอบว่า ท่านจะผลิตเท่าไร นะ คือเขาเรียกว่า “ซัพพลาย” นะครับ ซัพพลายเออร์ นี้ต้องทำให้สอดคล้องกับ ดีมาน ที่มีทั้งใน และนอกประเทศ ถ้ากำหนดหัวท้ายไว้อย่างนี้ ตรงกลางก็เป็นกระบวนการ กระบวนการตรงนี้ก็มีทั้งในส่วนของชุมชน ประชาชน สหกรณ์ นี่คือในชุมชนนะครับ ที่ประชาชนอยู่อาศัยกันเอง มีทางเลือกให้เขา อันที่สองก็คือในระดับที่เป็นภูมิภาค หรือเป็นจังหวัด เป็นอะไรนี่มันก็เชื่อมโยงกับจังหวัดอื่น ในกลุ่มจังหวัดนะครับ ถ้าหาตลาดร่วมกัน ต่อไปก็ส่งไปสู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่กำลังจะจัดตั้งอย่างเร่งด่วนนี่ นะครับ แล้วก็ไปสู่ประชาคมอาเซียนนะครับ

เพราะงั้นวันนี้ สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจนั้น สภาพัฒน์ฯ รายงานว่า ไตรมาสแรกปี 58 นะครับ มกราฯ ถึง มีนาฯ 58 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3 นะครับ ก็เป็นตัวเลขที่เราประมาณการจากการใช้จ่าย แล้วก็นำเข้า ส่งออก อะไรทำนองนี้นะครับ หลายตัวอย่างมาประกอบกัน ก็ประเมินไว้อย่างนั้น เป็นตัวเลขที่เป็นการประมาณการทั้งสิ้นนะครับ คาดว่า ร้อยละ 3 จะเพิ่มมากกว่านี้ ลดกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเราเองด้วยนะครับ รัฐก็พยายามเต็มที่ ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วยนะครับ เราบังคับตัวเลขตรงนี้ไม่ได้ ถ้าเราไม่เข้มแข็งพอ มันก็ขึ้นไปไม่ได้มากกว่านี้ ถ้ามันมีมาตรการความเสี่ยงอย่างอื่นขึ้นมาอีก ปัจจัยภายนอกเข้ามาอีก มันก็ลดลงกว่านี้ นั่นคือสิ่งที่เราบังคับไม่ได้ แต่เราต้องเตรียมความพร้อมไว้ อย่างไร มีมาตรการชดเชยไว้อย่างไร ต้องคิดไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ตอนนี้รัฐบาลก็สั่งการไปอย่างนั้น นะครับ ในการขยายตัวของเศรษฐกิจขึ้นเป็นร้อยละ 3 ในไตรมาสแรกนั้น ก็เนื่องมาจากการบริโภคภาคเอกชน นะครับ แล้วก็การลงทุนภาครัฐ ซึ่งเป็นเรื่องแรกนะครับ ที่จะทำให้เศรษฐกิจมันดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่แล้ว การลงทุนภาครัฐนี่มันอยู่ที่ทุกภาคส่วน ต้องช่วยกันนะครับ การท่องเที่ยว ช่วงนี้ก็เจริญเติบโตดี นะครับ มีคนมาเที่ยว วันนี้ผมเห็นคนมาเยอะไปหมดเลย แถวๆ ทำเนียบฯ บ้าง แถวพระที่นั่งอนันต์ฯ บ้างแถววัดพระแก้ว นะครับ พระที่นั่งจักรี นี่เยอะแยะไปหมด คนเดินกันเต็มไปหมดเลย แสดงว่า เขาเกิดความเชื่อมั่นในสถานการณ์ในเมืองไทยแล้ว ก็ต้องช่วยกันรักษาไว้ อันนี้ก็เป็นผลจากที่รัฐบาลได้พยายามเร่งรัดทุกอย่างนะครับ ตั้งแต่การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ ช่วงที่ผ่านมา การสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ ความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมืองต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ นะครับ ก็ทำให้ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน แล้วก็ต่างชาตินะครับรู้สึกมั่นใจในการดำเนินการธุรกิจ ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปตามปกตินะครับ ก็ต้องแก้ปัญหากันไป เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจนี่มีความผันผวนตลอดเวลาเหล่านี้นะครับ

วันนี้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นนะครับ นำรายได้เข้าประเทศมากขึ้น การจ้างงานก็เริ่มดีขึ้นนะครับ ในเดือนเมษาฯ 2558 นี้มีการจ้างงานอยู่ที่ 37.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 นะครับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อันนี้เป็นผลงานที่เราได้ทำกันร่วมกันมานะครับทั้งรัฐ และประชาชนนะครับ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้างเยอะแยะนะครับ ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงแก้ไขอีกนานพอสมควร ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคม ต่างๆ เหล่านี้ ภาคธุรกิจก็ต้องมาช่วยกันนะครับ เพราว่าเราพึ่งพาการส่งออก สูงกว่าร้อยละ 73 นะครับ แล้วสินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นด้านการเกษตรทั้งสิ้นนะครับ ในรายได้ทั้งหมด 70% นะครับ แล้วก็เป็นเรื่องธุรกิจ SMEs ด้วย ซึ่งเรายังเข้มแข็งไม่เพียงพอนักนะครับ รัฐบาลเร่งรัดมาปีหนึ่งแล้ว ปีนี้ก็จะเร่งต่อไปนะครับ คราวนี้ประเทศคู่ค้าของเราหลายประเทศทั้งในอาเซียน ในประชาคมโลก ต่างๆ นั้น ก็ยังคงประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ ในประเทศของตนนะครับ ทำให้ภาคการส่งออกของเรานั้นได้รับผลกระทบไปด้วย