จับเค้าลางจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการวิเคราะห์เจาะลึกกันออกมาอันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง แล้วคงเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ต้องยกเลิกกฎอัยการศึก นำมาสู่การใช้อำนาจ ม.44 นอกเหนือจากจะเป็นเครื่องมือหรือกลไกในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะก่อนจะใช้อำนาจ ม.44 นั้น ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่รับผิดชอบงานด้านกฎหมายของรัฐบาล ได้ออกมาระบุกลุ่มต้นเหตุอยู่ 5 กลุ่ม ที่ทำให้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ
1. อาจจะมีผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีตบางคนที่มีไม่มากนักอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น
2. กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ หรือกลุ่มมีอิทธิพล ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมแล้วก่อความไม่สงบสุขเรียบร้อย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนอันไม่เกี่ยวกับการเมือง
3. กลุ่มที่รู้ว่าเหตุการณ์กำลังเข้าสู่โรดแม็ประยะที่ 3 ที่จะเกิดการเลือกตั้ง ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ อาจจะมีการก่อความไม่สงบเรียบร้อยบางอย่างในบางพื้นที่
4. กลุ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น พวกนี้อาจจะไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่เจตนาอาจจะเป็นเรื่องอื่น
5. กลุ่มที่สุจริต แต่รู้สึกว่าตัวเองได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่มีเจตนาทางการเมือง มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ สังคม บางคนอาจจะระบายด้วยการก่อให้เกิดความไม่สงบ เช่น การลอบวางระเบิด แม้จะมีไม่มากนักก็ตาม
นี่คือสิ่งที่ต้องดูแลไม่ให้เกิดขึ้นเหมือนเหตุการณ์ก่อน 22 พ.ค. 57
และที่ตอกย้ำในเหตุผลนี้อีกขั้นหนึ่งก็คือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ได้เปิดเผยด้วยตนเอง
ก็คือ...
“วันนี้หลายคนไปโผล่อยู่ต่างประเทศ อะไรที่หนีกฎหมายไปทั้งหมด ไปนั่งเข้าแถวกันกินอาหารกันสนุกสนานในประเทศเพื่อนบ้าน กลับมาซะ ผมบอกให้กลับมา การที่ไปพูดจาให้ต่างประเทศเข้าใจเราผิดๆ มันเสียหายต่อประเทศ”
...
“เกลียดผมโกรธผมไม่ว่าให้มาพูดกัน ไม่ใช่ทำให้ประเทศเสียหาย”
“หรือท่านคิดแต่เพียงว่า ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านอยู่ไม่ได้ ท่านครองอำนาจไม่ได้ แล้วท่านจะต้องทำให้ประเทศเสียหายล่มจมไปเลย ถ้าคิดแบบนั้นแย่มาก ไปพิจารณาตัวเองด้วย”
“วันนี้ผมพูดไม่เกรงใจใคร ในเมื่อไม่เกรงใจผม ผมก็ไม่เกรงใจ เพราะทำให้ประเทศ คนที่ต่อต้านลองลงไปดูมีเบื้องหลังทั้งนั้น ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว”
“อย่างวันนี้อ่านพาดหัวของ CNN ที่ระบุว่า ผมใช้อำนาจเต็ม ม.44 จะสั่งประหารนักข่าว ซึ่งผมอยากให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและก็จะให้สัมภาษณ์น้อยที่สุดถ้าไม่มีการแก้ไขปรับปรุงตัวแล้วก็มาบอกให้ใจเย็นๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“หากคนเหล่านี้ยังมาปรามาสผมก็จะพูดให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกคนต่างมีแผลเหมือนกัน”
“อย่ามาทำให้ประเทศเดือดร้อน อย่ามาใช้คำว่าประชาธิปไตยตอนนี้ ผมให้อยู่แล้ว มันเดือดร้อนอะไรตรงไหน มาเดือดร้อนกับคำว่าประชาธิปไตยอีกหรือ”
ทั้งหมดที่สรุปมานั้นคือความในใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องการสื่อให้ทุกฝ่ายได้รับรู้และเห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้น
ว่าที่จริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะเปิดเผยออกมาให้หมดว่าใครเป็นใคร ทำอะไรไว้กันบ้างและมีแผลอะไรกันบ้าง
เพราะนั่นจะทำให้สังคมและประชาชนได้รับรู้กันว่าบุคคลที่ก่อเหตุนั้นมีพฤติกรรมอย่างไรเพื่อจะทำให้ตาหูสว่างมองเห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ว่ารักชาติ–รักประชาชนหรือตบตาหวังเพื่ออำนาจและผลประโยชน์.
“สายล่อฟ้า”