“Tale as old as time
Song as old as rhyme
Beauty and the Beast”
เพลง “Beauty and the Beast” จาก “Beauty and the Beast”
เชื่อว่าคอเทพนิยายต้องไม่พลาดและจดจำบทเพลงไพเราะข้างต้น จากเรื่องราวความรักสุดคลาสสิก “Beauty and the Beast” ได้เป็นอย่างดี มาดามเองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ เรียกได้ว่าเปิดดูซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ จนแทบจะจำได้ทุกซีน...แล้ววันนี้ก็เหมือนได้มีโอกาสกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เมื่อได้เห็นตัวละครที่เคยหลงใหลและชื่นชอบ กลับมาโลดแล่นให้เห็นบนเวทีละครเพลง

“Beauty and the Beast” หรือชื่อไทยที่หลายคนคุ้นเคย “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” เป็นเรื่องราวความรักระหว่างสาวสวยผู้รักการอ่านและอยากท่องโลกกว้างอย่าง “เบล” (Belle) กับ "เจ้าชายอสูร" (the Beast) ซึ่งถูกสาปให้มีหน้าตาและรูปร่างอัปลักษณ์ จนกว่าจะค้นพบรักแท้ จึงจะถอนคำสาปได้...
...
พล็อตเรื่องเก่าแก่...เมื่อความรักแท้ไม่ได้ทำให้ตาบอด แต่กลับทำให้ตาสว่าง มองทะลุ “ความอัปลักษณ์” ภายนอก ไปเห็น “ความดี” จากภายใน รวมไปถึง “ความแปลก” ของตัวละครทั้งสอง ซึ่งกลายเป็นส่วนเติมเต็มให้แก่กันและกันได้อย่างลงตัว...ไม่ได้ทำให้แฟนๆ ทั่วโลกเบื่อหน่าย แต่กลับทำให้ทุกคนลุ้นและอดยิ้มตามไปตลอดทั้งเรื่องไม่ได้ ในความน่ารักของทั้งสอง

ยิ่งได้เพลงประกอบอันไพเราะ ไม่ว่าจะเป็น “Belle” “Be My Guest” และ “Beauty and the Beast” ยิ่งส่งให้เรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบและจดจำสำหรับแฟนๆ ทั่วโลก ที่สำคัญ...เนื้อหาในเพลงก็ช่วยให้เราได้รู้จักตัวละครและปมปัญหาต่างๆ ในเรื่องได้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะความรู้สึกของตัวละครเอกทั้งสอง

“It’s know no wonder that her name means beauty, her looks have got no parallel, but behind the fair facade, I’m afraid she’s rather odd, very different from the rest of us, she’s nothing like the rest of us, yes, different from the rest of us is Belle.”
เพลง “Belle” จาก “Beauty and the Beast”

ตัวละคร “เบล” นับเป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญของเรื่องนี้เลยค่ะ ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้แตกต่างจากคาแรกเตอร์นางเอกในเรื่องอื่นๆ มากนัก เมื่อเทียบกับบริบทปัจจุบัน แต่สำหรับยุคสมัยก่อน...หญิงสาวผู้รักการอ่านและอยากท่องเที่ยวสู่โลกกว้าง ก็นับเป็น “ของแปลก” อยู่ไม่น้อยทีเดียว เพราะหญิงสาวผู้ใฝ่รู้ จะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างหรือรับคำสั่งจากใครง่ายๆ เธอมีอิสระเสรีทางความคิด และจะยอมทำในสิ่งที่มีเหตุผล หรือสิ่งที่หัวใจปรารถนาและต้องการเท่านั้น

...
ส่วนตัว “เจ้าชายอสูร” หรือ “the Beast” ก็น่าสนใจไม่ต่างกันเลยค่ะ แม้จะมีรูปร่างหน้าตาไม่น่ามอง รวมทั้งคาแรกเตอร์กวนประสาท หยาบคาย ไม่น่าคบ แต่ก็มีสิ่งหนึ่ง ถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากอันเย็นชา...คือหัวใจอันงดงามและความห่วงหาจากส่วนลึก ซึ่งเอาชนะใจสาวสวยอย่างเบลได้ในที่สุด ราวกับจะพิสูจน์ว่า “รักแท้” ทำให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้


...
นอกจากเรื่องราวความรักสุดคลาสสิกที่ครองใจผู้ชมทั่วโลกแล้ว ความสวยงามของฉากและแสงสีบนเวทีก็เป็นอีกองค์ประกอบที่ทำให้ละครเวทีเรื่องนี้เป็นที่ประทับใจของใครหลายคน รับรองได้ว่าคอเทพนิยายจะต้องไม่ผิดหวัง เพราะทีมงานเขาออกแบบมาได้อย่างดีค่ะ แสงสีตระการตาเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ จำลองฉากในเวอร์ชั่นการ์ตูนมาได้ใกล้เคียงมาก บวกกับท่าเต้นและท่วงทำนองเพลงอันคุ้นเคย ก็ทำให้ทุกสายตาแทบจะคลาดไปจากบนเวทีไม่ได้
ใครที่เป็นแฟน “Beauty and the Beast” ในเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นมาแล้ว ครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดี จะได้รับชมในรูปแบบละครเพลง หรือมิวสิคัล ซึ่งถูกส่งตรงมาจากดิสนีย์ โดยทีมผู้สร้างมือฉมังในยุคเริ่มแรก ซึ่งกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง (มิวสิคัล “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” เปิดการแสดงครั้งแรกในปี 2537 และเริ่มทำ World Tour ในปี 2547) โดยจะเริ่มเปิดการแสดงตั้งแต่วันนี้ถึง 15 มีนาคม ณ โรงละครรัชดาลัย เธียเตอร์ คุณผู้อ่านที่สนใจสามารถจองบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์
จนกว่าจะพบกันใหม่
มาดามอองทัวร์
Twitter: @MadamAutuer