การ‘ระบายข้าว’แบบจีทูจีเก๊รมช.-อธิบดี-เสี่ยเปี๋ยงด้วยโยงสำนวนไปถึงคดีอาญาปู
มติ ป.ป.ช.เอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียง ฟัน “บุญทรง-ภูมิ” กับพวกรวม 21 ราย โกงจีทูจีข้าวเก๊ สั่งสรรพากรตรวจสอบธุรกรรมการเงินยกแก๊ง ยังมีลอตสองเตรียมชี้มูลบริษัทค้าข้าวมีเอี่ยวอีก 100 กว่าราย “บุญทรง” โวยลั่นตกเป็นเหยื่อการเมืองเพื่อหวังเอาไปโยงคดีสอย “ปู” นปช.ขู่ สนช.โหวตไม่ดีก็พอกันทีเรื่องปรองดอง “บิ๊กตู่” สั่ง คสช.-ครม.อย่านิ่งต้องช่วยกันเคลียร์ คณะทำงานร่วม ป.ป.ช.-อสส.ได้ข้อสรุปสั่งฟ้องคดีอาญา “ปู” ระหว่างรอสภานิติบัญญัติ (สนช.) ประชุมเพื่อพิจารณาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าวในวันที่ 23 ม.ค. ล่าสุด ป.ป.ช.ได้มีมติฟันนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ทุจริตการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) แล้ว
ป.ป.ช.ฟัน “บุญทรง” คดีจีทูจีข้าวเก๊
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 ม.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาลงมติการไต่สวนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ พร้อมพวก กรณีการทุจริตต่อหน้าที่ในการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในโครงการรับจำนำข้าว ภายหลังการประชุมนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียงชี้มูลความผิดนายบุญทรงและพวกรวม 21 คน โดยแบ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.นักการเมือง 3 คน ได้แก่ นายบุญทรง นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าว พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ 2.เจ้าหน้าที่รัฐ 3 คน ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ
...
เอกชนเอี่ยวด้วยทั้งสิ้น 15 ราย
นายวิชากล่าวอีกว่า 3. เอกชน 15 ราย ประกอบด้วย นายสมคิด เอื่อนสุภา นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายลิตร พอใจ บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด น.ส.รัตนา แซ่งเฮ้ง น.ส.สุทธิดา จันทะเอ น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์ นายนิมล รักดี นายสุธี เชื่อมไธสงน.ส.สุนีย์ จันทร์สกุลพร นายกฤษณะ สุระมนต์ นายสมยศ คุณจักร บริษัทสิราลัย จำกัด น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” กรณีร่วมกันทุจริตการระบายข้าวแบบจีทูจี
แฉขบวนการโกงข้ามชาติขายข้าว
นายวิชากล่าวว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนพบว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 21 ราย ร่วมกระทำความผิดด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยมุ่งเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ไห่หนาน และบริษัท กวางตุ้ง ได้เข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลในราคาต่ำ จำนวน 6.5 หมื่นตัน วงเงิน 847 ล้านบาท โดยไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น ทั้งที่สองบริษัทดังกล่าวไม่ได้รับมอบอำนาจจากประเทศจีน ให้มาทำสัญญาซื้อขายข้าว จากนั้นได้นำข้าวที่ซื้อในราคาต่ำกว่าราคาขายภายในประเทศ ไปขายต่อให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศ หรือนำไปให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง โดยพบว่ามีการใช้แคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายให้กรมการค้าต่างประเทศ ถือเป็นการซื้อขายข้าวในประเทศ ไม่มีการส่งออกนอกประเทศจริง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการค้าต่างประเทศ และประเทศชาติอย่างร้ายแรง
เล็งเอาไปโยงฟันคดีอาญา “ปู”
นายวิชากล่าวว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.พิจารณาแล้วจึงมีมติว่า ผู้กล่าวหาทั้ง 21 คน ร่วมกันกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยให้ส่งรายงานและเอกสารให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อดำเนินการทางวินัย และส่งความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป ภายใน 1-2 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีบริษัทค้าข้าวที่เกี่ยวข้องในการทุจริตดังกล่าวอีก 100 กว่าราย ที่ ป.ป.ช.ยังไต่สวนไม่เสร็จ แต่จะเร่งไต่สวนเพื่อชี้มูลความผิดต่อไป โดยจะกันบางรายไว้เป็นพยานต่อ ป.ป.ช. ทั้งนี้ ป.ป.ช.จะนำสำนวนลงมติการทุจริตระบายข้าวจีทูจีครั้งนี้ ส่งให้คณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุดเพื่อใช้เป็นหลักฐานเพิ่มเติมในคดีอาญาโครงการจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อไป
ให้สรรพากรสอบทางธุรกรรมการเงิน
นายวิชากล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเพิ่มเติมให้สำนักงาน ป.ป.ช. นำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไปศึกษาหามาตรการและข้อเสนอแนะ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อไป ให้กรมสรรพากรไปตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินหรือการชำระภาษีของผู้ถูกกล่าวหาและผู้เกี่ยวข้องในการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คให้กรมการค้าต่างประเทศต่อไป พร้อมให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพิ่มเติมกรณีการกล่าวหานายบุญทรง และนางปราณี ศิริพันธ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการเจรจาซื้อขายข้าวจีทูจีในราคาถูกกับบริษัทของจีนอีก 4 แห่งโดยไม่ถูกต้อง มีนายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการป.ป.ช. เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน ตลอดจนให้สำนักงาน ป.ป.ช.ไปแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานว่า ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์มีการซื้อขายมันสำปะหลังในรูปแบบรัฐต่อรัฐโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ แล้วเสนอให้ที่ประชุม ป.ป.ช.รับทราบต่อไป
เผยยอดขาดทุน 6 แสนล้าน
นายวิชากล่าวว่า ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ป.ป.ช.จะแจ้งให้กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ไปพิจารณาดำเนินการให้ผู้ถูกกล่าวหาและผู้เกี่ยวข้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ขณะนี้ตัวเลขความเสียหายยังไม่นิ่ง แต่ตัวเลขของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวสรุปล่าสุดว่า มียอดขาดทุนสะสม 6 แสนล้านบาท จะมีการไปทำรายละเอียดว่าใครต้องรับผิดชอบความเสียหายเท่าไรบ้าง โดยจะรายงานเรื่องนี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯทราบต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่า ตัวเลขความเสียหาย 6 แสนล้านบาท เป็นของทั้งโครงการรับจำนำข้าว แต่ตัวเลขความเสียหายเฉพาะกรณีจีทูจีที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเท่าใด นายวิชาตอบว่า ต้องดูประกอบกัน เพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นมากมาย รวมถึงกรณีที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ไปแจ้งความเอาผิดกับคู่สัญญาของรัฐ
เมื่อถามว่า มีการวิจารณ์ว่าการชี้มูลความผิดนายบุญทรงครั้งนี้เป็นการลงมติในช่วงที่ สนช.กำลังจะลงมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ในวันที่ 23 ม.ค. นายวิชาตอบว่า มันบังเอิญ เรื่องนี้บอกตั้งแต่ปลายปี 57 ว่า จะมีการลงมติในวันที่ 20 ม.ค.58 ก่อนที่ สนช.จะกำหนดวันลงมติถอดถอนคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ป.ป.ช.มีขั้นตอนทำงานชัดเจน ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บมาลงมติกัน
ป.ป.ช.–อสส.สรุปฟ้องอาญา “ปู”
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ในวันที่ 20 ม.ค. ที่ประชุมคณะทำงานร่วมป.ป.ช. และอัยการสูงสุด ได้นัดประชุมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์คดีอาญาโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นนัดสุดท้าย โดยได้นำพยานหลักฐานที่ ป.ป.ช.ได้ไปสอบเพิ่มเติมมาให้ที่ประชุมพิจารณา ในที่สุดคณะทำงานร่วมฯเห็นพ้องกันว่า ได้ข้อสมบูรณ์ครบถ้วนในสำนวนแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้คณะทำงานร่วมฯจะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการส่งฟ้องคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป เท่าที่ทราบฝ่ายอัยการจะดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วภายในไม่กี่วันนี้ ขอให้ติดตามท่าทีจากอัยการว่า จะสั่งฟ้องคดีได้เมื่อใด
“บุญทรง” โวยลั่นตกเป็นเหยื่อการเมือง
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับทราบมติ ป.ป.ช.ว่า กระบวนการทางกฎหมายยังไม่ถึงที่สุด ยังมีขั้นตอนส่งสำนวนคดีไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาอีก อัยการสูงสุดจะฟ้องหรือไม่ ยังไม่ทราบ แม้ในท้ายที่สุดอัยการสูงสุดจะมีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาล ยังเชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เพราะไม่ได้กระทำผิดตามที่กล่าวหา สิ่งที่น่าเสียใจจากการชี้มูลคดีของ ป.ป.ช.น่าจะมีวาระซ่อนเร้น เพราะชี้มูลคดีก่อนที่จะมีการแถลงปิดสำนวนในคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพียง 2 วัน ตนจึงเป็นเพียงเหยื่อทางการเมืองที่หวังจะเอาผลคดีนี้ ไปโยงกับคดีถอดถอนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งที่ความจริงเป็นคนละเรื่องกัน
ห้าม ป.ป.ช.เอาไปโยงคดีสอย “ปู”
นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษากฎหมายคณะทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวว่า เรื่องการถอดถอนอดีตนายกฯเริ่มตั้งแต่เมื่อรับทราบข้อกล่าวหาในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. ก็ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาในประเด็นการระบายข้าวแบบจีทูจีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อมีการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ป.ป.ช.ก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องระบายข้าวแบบจีทูจี แต่ใช้หลักการว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ละเว้น ไม่ระงับยับยั้งโครงการจำนำข้าว ดังนั้น ในวันแถลงปิดคดีหากนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.นำเอาสิ่งนอกเรื่องจากการกล่าวหาเข้ามาโยง ถือว่าไม่เป็นธรรม ถ้ามีเจตนามุ่งหวังชี้นำ สนช. รวมทั้งสังคมให้หลงเข้าใจผิดว่าคดีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก มีความเกี่ยวข้องกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะถือว่า ป.ป.ช.มีวาระซ่อนเร้น ทางทีมทนายจะดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายวิชาทันที เพราะถือว่ากลั่นแกล้งกันทางการเมือง
นปช.ขู่ “ปู” โดนก็พอกันทีปรองดอง
นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช.และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถ้า สนช.โหวตถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสำเร็จ ประเทศไทยต้องเอาคำว่า ปรองดองเก็บใส่หีบเหล็กล็อกกุญแจกาลเวลา ชาติหน้าจึงเปิดมาใช้ได้ ชาตินี้ขอพอกันที ไม่ใช่ว่าจะเอาคำว่าปรองดองมาขวางกั้นการทำหน้าที่ของ สนช. ไม่ว่าจะมองมิติไหนล้วนแต่ไม่มีเหตุผลในการถอดถอนทั้ง 3 ท่านทั้งสิ้น ถ้าคสช.ยังปล่อยให้กลุ่มฝ่ายแค้น กระเหี้ยนกระหือรือเล่นงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายสมศักดิ์และนายนิคม โดยไม่สนใจหลักความถูกต้องและความเป็นธรรม ก็ไม่มีทางที่บุคคลที่ถูกกระทำและกลุ่มผู้สนับสนุนจะยอมรับได้ จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้อีกนาน ถ้า คสช.ปล่อยให้การถอดถอนสำเร็จ การยึดอำนาจครั้งนี้ก็จะเสียของอย่างแน่นอน
คสช.–ครม.เกาะติดวันสอย “ปู”
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมร่วม คสช.และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 4 เพื่อสรุปติดตามการทำงานด้านต่างๆ ตามโรดแม็ปของ คสช.และรัฐบาล โดยที่ประชุมจะมีการนำเสนอแผนการทำงานในรอบปีนี้ทั้งหมดด้วย รวมถึงการขับเคลื่อนงานที่ล่าช้า
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และโฆษกกองทัพบก กล่าวภายหลังการประชุมว่า สถานการณ์ความมั่นคงในภาพรวม ขณะนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุและความเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนความเป็นห่วงของกลุ่มที่จะมาสนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันพิจารณาสำนวนคดีถอดถอน ยังไม่มีรายงานสถานการณ์ความรุนแรง แต่ต้องติดตามดูสถานการณ์เพราะขณะนี้ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะเกิดความวุ่นวาย
“บิ๊กตู่” หวั่นปะทุสั่งทุกคนนิ่งไม่ได้
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงภายหลังการประชุมร่วม ครม.กับ คสช.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ฝากทุกภาคส่วนทั้ง ครม.และ คสช.ให้ช่วยกันชี้แจงต่อสังคม กรณีกระบวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายนิคม ไวยรัชพานิช และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เรื่องเหล่านี้เป็นการแก้ไขปัญหาการขัดแย้งของชาติบ้านเมืองเราในอดีต ที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ จะอยู่เฉยก็ไม่ได้ความขัดแย้งพร้อมที่จะปะทุขึ้นมาตลอด ต้องดำเนินเรื่องไปตามกฎหมาย ในครั้งนี้เป็นการตรวจสอบภาวะผู้นำ คุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมือง ที่มีการเสนอข้อมูลทั้งสองฝ่ายให้ สนช. รับทราบ รวมทั้งมีการเสนอข้อมูลอย่างกว้างขวางให้ประชาชนรับทราบว่า ป.ป.ช.ตั้งข้อสังเกตในเรื่องใดบ้าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ใช้ภาวะผู้นำ ผู้กำหนดนโยบายของรัฐ ยับยั้งความเสียหายเหล่านั้นหรือไม่ อีกทั้งไม่ได้มาตอบคำถามต่อ สนช.ด้วยตัวเอง กลับมอบให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องตอบผ่านยูทูบ สังคมต้องพิจารณาดูว่าการตรวจสอบคุณธรรม จริยธรรม สามารถที่จะมอบหมายให้ใครตอบแทนได้หรือไม่
ปชป.ดักคอมติจะเป็นตัววัดจริยธรรม
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า กังวล หาก สนช.ลงมติไม่ถอดถอนทั้ง 3 คน โดยเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 50 ไม่มีผลบังคับใช้ ก็เป็นการชนะโดยเทคนิคทางกฎหมายเท่านั้น เพราะเรื่องข้อสงสัยในตัวบทกฎหมายเป็นเรื่องของศาล แต่ในเรื่องกระบวนการถอดถอนนี้เป็นเรื่องของการชี้วัดทางจริยธรรม ซึ่ง สนช.ที่ตั้งโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ต้องเผชิญคำถามจากสังคมถึงระดับมาตรฐานจริยธรรม ตนจึงคิดว่าความประสงค์ของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญที่หวังร่างรัฐธรรมนูญให้ประเทศไทยมีนักการเมืองที่มีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าทั่วไปคงเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น