ปชป.ฟ้อง สุดา-คนนามสกุล วลัยเสถียร ผิดอาญามาตรา 112 ยื่นเรื่องให้ผู้ช่วย รมว.กลาโหม จัดการ หลังโพสต์ข้อความจาบจ้วง พ่วงคดีหมิ่นประมาท กรณี สุดา ใส่ร้ายขายชาติ ขุดข้อมูล 10 ประเด็น โต้คดี ปรส. เศรษฐกิจพังยุคชวลิต มีทักษิณ ร่วม ครม. ชี้ เกียรตินาคิน ของเมียพงษ์เทพ ได้ประโยชน์
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรคและนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ร่วมแถลงข่าว โดยนายวิรัตน์ กล่าวว่า จากกรณี น.ส.สุดา รังกุพันธุ์ อดีตนักวิชาการลงข้อความและภาพในเฟซบุ๊ก ชื่อ สุดา รังกุพันธุ์ ว่า แต่งดำเดือน ธ.ค.ไว้อาลัยคดี ปรส. ทั้งที่เดือน ธ.ค. เป็นเดือนมหามงคลที่คนไทยจะแต่งสีเหลือง ถือเป็นการกระทำที่จาบจ้วงล่วงละเมิด ผิดกฎหมายอาญา ม.112 จึงได้ยื่นเรื่องต่อ พล.อ.รุ่งโรจน์ จำรัสโรมรัน ผู้ช่วย รมว.กลาโหม ให้ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำผิดตาม ม.112 ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รวมถึงกรณีของบุตรชายนักการเมืองพรรคเพื่อไทย นามสกุลวลัยเสถียร ที่มีการล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างร้ายแรง แต่ตำรวจมีคำสั่งไม่ฟ้อง จึงยื่นเรื่องให้ดำเนินการด้วยพ่วงฟ้องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา คดี ปรส.
นายวิรัช กล่าวต่อว่า ในส่วนของ น.ส.สุดา นอกจากทำผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ จะฟ้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทด้วย เนื่องจากข้อความที่นางสาวสุดา โพสต์ ยังมีการกล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ขายชาติทำให้เกิดความเสียหายกรณี ปรส. เป็นการใส่ร้ายอย่างน่าละอาย เพราะพรรคที่ทำให้เกิดความเสียหาย คือ รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้าไปแก้ไข
นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประเด็น ปรส.เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทย และนักวิชาการเสื้อแดงใช้เป็นประเด็นโจมตีให้พรรคเกิดความเสียหายมาโดยตลอด จึงมีความจำเป็นต้องฟ้องดำเนินคดี และขอชี้แจงความจริง 10 ข้อเกี่ยวกับ ปรส. คือ 1. วิกฤติเศรษฐกิจเกิดในสมัย พล.อ.ชวลิต ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังผิดพลาด ปล่อยให้นักการเมืองนำหลักทรัพย์ที่ไม่มีมูลค่าไปกู้เงิน เช่น กรณี ธนาคารบีบีซี และมีการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปแทรกแซงเงินบาทจนหมดตัว ก่อนลอยตัวค่าเงินบาท 2. การลาออกของ พล.อ.ชวลิต ไม่ใช่การรับผิดชอบแต่เป็นการทิ้งปัญหา เพราะคิดว่าประเทศไทยไปไม่รอด อีกทั้งก่อนลาออกยังได้ลงนามสัญญาทาสกับกองทุนไอเอ็มเอฟจนทำให้รัฐบาลต่อมาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น
...
นายศิริโชค กล่าวต่อว่า 3. องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส.เกิดในสมัย พล.อ.ชวลิต มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีการแยกสถาบันการเงินที่มีปัญหาออกจากสถาบันการเงิน ที่ยังสามารถดำเนินการได้ด้วยการระงับสถาบันการเงินที่มีปัญหา 16 แห่ง เป็นการชั่วคราว ในวันที่ 26 มิ.ย. 2540 และตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ คือ คณะกรรมการกำกับควบ หรือ โอนกิจการของสถาบันการเงิน (คคส.)ในวันที่ 3 ก.ค.2540 เพื่อกำกับดูแลการควบหรือรวมกิจการ กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน ต่อมารัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยังระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินเพิ่มเติมอีก 42 แห่ง ในวันที่ 2 ส.ค. 2540 รวมทั้งหมด 58 แห่ง โดยกำหนดให้มีการยื่นแผนฟื้นฟูให้ คคส.ภายในวันที่ 31 ต.ค. 2540
อดีต ส.ส.สงขลา กล่าวอีกว่า 4. รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงิน ที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ต.ค. 2540 5. ตามข้อจำกัดที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ทำสัญญากับไอเอ็มเอฟ ทำให้ ปรส.ต้องพิจารณาแผนการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 30 พ.ย. 2540 และประกาศผลการพิจารณาในวันที่ 7 ธ.ค. 2540 ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เข้าบริหารประเทศในวันที่ 14 พ.ย.2541 อีกทั้ง ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยการบริหารของ ปรส.ในขณะนั้น มีสถาบันการเงิน 2 แห่งจาก 58 แห่ง ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการตามแผนฟื้นฟู โดยหนึ่งในนั้น คือ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งภรรยาของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ในปี 2556 ป.ป.ช.ยังมีการชี้มูลความผิดผู้บริหาร ปรส.ว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเกียรตินาคินด้วย
นายศิริโชค กล่าวอีกว่า 6. ยอดหนี้ที่ ปรส.เข้าไปสะสางมีเจ้าหนี้รวม 93,656 ราย มูลค่า 873,973.81 ล้านบาท เป็นหนี้กองทุนฟื้นฟูฯประมาณ 769,284.83 ล้านบาท 7 จากยอดหนี้ 769,284.83 ล้านบาท เป็นหนี้สินทรัพย์ไม่ใช่เป็นทรัพย์สิน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการลอยตัวค่าเงินบาท จึงทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นตามค่าเงินบาทที่อ่อนลงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 50 บาทต่อดอลลาร์ 8. หลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันมีมูลค่าลดลงจากวิกฤติเศรษฐกิจ และยังมีปัญหาว่าหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันในขณะนั้นเป็นหลักทรัพย์มีการประเมินราคาสูงเกินความเป็นจริง
9. ยอดสินทรัพย์ที่มีการประมูลขาย คือ 748,091.78 ล้านบาท ได้เงิน 264,093.99 ล้านบาท และมีสินทรัพย์จำนวน 120,868.05 ล้านบาท เป็นหนี้ที่ต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาไม่สามารถนำไปประมูลขายได้ ดังนั้น จึงไม่มีการประมูลขายทรัพย์สินมูลค่า 873,973.81 ล้านบาท และได้เงินคืนเพียง 190,000 ล้านบาท ตามที่มีการปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิด 10. กรณีอ้างว่า คดี ปรส.หมดอายุความเดือนพฤศจิกายน เป็นเรื่องเท็จ เพราะปัจจุบัน ป.ป.ช.ได้ชี้แจงแล้วว่าไม่มีคดีค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. โดยมีการสั่งฟ้องไปแล้วสองคดี คือ เรื่องการวางหลักประกันการประมูลหนี้ ที่ฟ้องผู้บริหาร ปรส. ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง อยู่ในชั้นการพิจารณาคดีของศาลฎีกา และกรณีกล่าวหา นายมนตรี เจนวิทย์การ เลขา ปรส. กับพวก เอื้อประโยชน์บริษัทเกียรตินาคิน จนทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องดำเนินคดี
นายศิริโชค กล่าวว่า จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า คนที่บริหารจนเกิดความเสียหาย คือ รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ไอเอ็มเอฟ และมีการตั้ง ปรส.เพื่อบริหารแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน โดยมีการออกกฎหมายให้เป็นหน่วยงานอิสระที่รัฐบาลแทรกแซงไม่ได้ อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตามแผนของไอเอ็มเอฟ ตามพันธสัญญา ที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ไปลงนามด้วย พรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ใช่ผู้ทำให้เกิดความเสียหายแต่เข้ามาแก้วิกฤติประเทศ ในขณะเดียวกัน ก็มีข้อมูลชัดเจนว่า คนที่ได้ประโยชน์จากการบริหารของ ปรส. คือ บริษัทเกียรตินาคิน ที่มีภรรยานายพงษ์เทพ กาญจนา เป็นเจ้าของ.