สำนักวิเคราะห์บางแห่งวิเคราะห์ แนวรับกับแนวต้านราคาทองคำเมื่อหลายวันก่อน ช่วงที่ราคาทองแท่งในเมืองไทยหล่นฮวบ ร้านทองขายออกต่ำกว่าบาทละ 18,000 บาทว่า แนวรับอยู่ที่ 1,127 หรือสูงกว่านั้น แนวต้านอยู่ที่ 1,176

สถานการณ์นี้ทำเอาบรรดาแมลงเม่าในตลาดทอง ทั้งปีกเหล็กและเพิ่งฝึกบินถูกเตือนให้จับตาการไหลลงของราคาทองระยะนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมแนะให้นักลงทุนทองคำ ปรับตัวเข้าสู่โหมดรอดูสถานการณ์ราคา ...อย่างไม่กะพริบตา!!

เพื่อให้สิ่งที่จะอ่านต่อง่ายขึ้น ลองมาทำความรู้จักกับศัพท์เฉพาะบางคำกันก่อน

คำว่า “แนวรับ” ที่นักลงทุนมักพูดกันหมายถึง เมื่อราคาหุ้นหรือทองคำ อ่อนตัวลงไปจนถึงจุดจุดหนึ่ง หรือที่ระดับตัวเลขนั้นทีไร มักจะมีแรงช้อนซื้อกลับเข้ามามากกว่าปกติ จึงช่วยผลักดันให้ราคาดีดตัวกลับขึ้นไป

คำว่า “แนวรับ” จึงพอสรุปง่ายๆได้ว่า มารับไว้ เพื่อไม่ให้ราคาร่วงลงไปกว่านี้

ส่วน “แนวต้าน” หมายถึง เมื่อระดับราคาของหุ้นหรือทองคำพุ่งขึ้นไปถึงจุดจุดหนึ่ง หรือที่ระดับตัวเลขนั้นทีไร มักจะมีแรงเทขายออก เพื่อทำกำไรกันมากกว่าปกติ จึงฉุดรั้งให้ราคาหุ้นหรือทองอ่อนตัวลงมา

คำว่า “แนวต้าน” จึงสรุปง่ายๆว่า หมายถึง ต้านไว้ เพื่อไม่ให้ราคาพุ่งขึ้นไปกว่านี้

ยกตัวอย่าง หุ้น A มีราคาอยู่ที่ 100 บาท/หุ้น เมื่อใดที่หุ้นตัวนี้ มีแนวรับร่วงลงไปอยู่ที่ 95 บาท/หุ้น ตามหลักของอุปสงค์-อุปทาน หรือดีมานด์-ซัพพลาย สิ่งที่ตามมาก็คือ มักจะมีนักลงทุนจำนวนมากสนใจแห่เข้าไปช้อนซื้อเก็บเอาไว้มากกว่าปกติ ทำให้ราคาของหุ้น A ดีดตัวกลับขึ้นไป

ในทางกลับกัน เมื่อใดที่หุ้น A มีคนเข้าไปซื้อมาก จนมีราคาแนวต้านขึ้นไปสูงถึง 105 บาท/หุ้น ผลที่ตามมาก็คือ จะเริ่มมีผู้สนใจเทขายออกที่ราคานี้กันมาก เพื่อหวังทำกำไร จนส่งผลฉุดให้ราคาอ่อนตัวลง

...

ส่วน “ราคาทะลุแนวรับ–แนวต้าน” หมายถึง แนวรับและแนวต้านนั้นเอาไม่อยู่แล้ว จึงต้องไปตั้งค่าแนวรับและแนวต้านกันที่ระดับใหม่ เพื่อประเมินการตั้งจุดซื้อและจุดขายกันใหม่

พูดง่ายๆ เมื่อใดที่แนวรับเอาไม่อยู่หลายครั้งต่อเนื่อง หากไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรก ราคาทองคำหรือหุ้น มักจะเป็นทิศทางขาลง แต่ถ้าแนวต้านเอาไม่อยู่หลายครั้งต่อเนื่อง หากไม่มีตัวแปรหรือปัจจัยอื่นมาแทรก ราคาหุ้นหรือทองคำ มักจะเป็นทิศทางขาขึ้น

วันก่อน มีนักวิเคราะห์ชื่อดังออกมาเตือนว่า เมื่อใดที่ราคาทองคำทะลุ ระดับ 1,180 เหรียญสหรัฐฯ/ออนซ์ ลงมาให้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ได้เลยว่า แนวโน้มราคาทองจะเป็นขาลงยาว

นอกจากนี้ ราคาทองระยะยาวยังมีความเป็นไปได้ที่อาจหลุดแนวรับ ลงไปทดสอบที่ระดับ 1,100 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นการหลุดอย่างน่าใจหาย เพราะขณะนี้ต้นทุนการผลิตทองคำที่หน้าเหมืองทองทั่วโลก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,100-1,150 เหรียญฯ/ออนซ์แล้ว

การที่ล่าสุดราคาทองในตลาดโลก ร่วงทะลุจาก 1,180 เหรียญฯ/ออนซ์ ลงไปอยู่ที่ 1,140-1,176 เหรียญฯ/ออนซ์เมื่อวันก่อน ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งในไทย ค่าความบริสุทธิ์ 96.5% ณ วันที่ 6 พ.ย. 2557 ทำสถิติใหม่ร่วงทะลุจากบาทละ 18,000 บาท เหลือร้านทองขายออกที่บาทละ 17,800 บาท รับซื้อบาทละ 17,700 บาท ทองรูปพรรณขายออกบาทละ 18,200 บาท รับซื้อบาทละ 17,449.16 บาท

และเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 57 ราคาทองแท่งขายออกบาทละ 17,900 บาท รับซื้อบาทละ 17,800 บาท ทองรูปพรรณขายออกบาทละ 18,300 บาท รับซื้อบาทละ 17,540.12 บาท

ก่อนหน้าที่ทองคำแท่งจะร่วงลงมาต่ำกว่าบาทละ 18,000 บาท ใครที่ซื้อทองคำไว้เพื่อเก็งกำไร ไม่เพียงนาทีนี้สถานภาพของท่านไม่ต่างกับ ผู้ที่ติดอยู่บนดอย หาโอกาสหรือทางลงยังไม่เจอ ยังมีแนวโน้มว่าท่านทั้งหลายอาจจะต้องร้องเพลงรออยู่บนดอยกันอีกนานนับปี

โดยเฉพาะผู้ที่ใช้เงินร้อน (ไม่ใช่เงินเหลือเก็บ) ไปเล่นเก็งกำไรทอง ถ้าซื้อไว้ช่วงที่ราคาทองบาทละ 19,000 บาทเศษ นาทีนี้ท่านอาจโดนเพื่อนล้อได้ว่า อาจต้องติดดอยนานขนาดได้กะเหรี่ยง ม้ง หรือแม้วเป็นเมีย

แต่ก็ยังไม่สาหัสสากรรจ์เท่าบางคนที่ซื้อเก็บไว้ ในช่วงทองแท่งขายบาทละ 25,800 บาท เทียบกับราคาเมื่อวันที่ 6 พ.ย.57 เหลือแค่บาทละ 17,800 บาท นักลงทุนทองคำกลุ่มนี้ไม่ใช่ติดแค่ดอยธรรมดา

แต่เปรียบเหมือนพวกเขาได้ขึ้นไปนอนค้างเติ่งหนาวเหน็บเวิ้งว้างอยู่บนยอดเขาเอเวอเรสต์ที่มีหิมะปกคลุมทั้งปีเลยทีเดียว

ถามว่าหนทางแก้หรือวิธีลงจากดอยพอจะมีบ้างหรือไม่ ตามสายตาของนักเก็งกำไรทองชั้นครู บอกว่ามี เพียงแต่ต้องอาศัยความใจถึง ยอมเจ็บตัวบ้าง ถอยเป็น สู้เป็น และตั้งหลักใหม่ให้เป็น

อาทิ นักเล่นทองบางคนเลือกใช้วิธี CUT LOSS หรือยอมตัดใจขายขาดทุนซะแต่เนิ่นๆ เมื่อเห็นว่าราคาทองเริ่มดิ่งลงเรื่อยๆ แต่ยังไม่ห่างจากต้นทุนที่ซื้อมามากนัก เรียกว่ายอมเจ็บตัวแต่น้อย ดีกว่าถือไว้ให้เจ็บหนัก

ขณะที่บางคนเสียดาย ซื้อมาช่วงทองแพง ไม่อยาก CUT LOSS ยอมกัดฟันทนถือไว้ลุ้นราคาต่อ โดยหวังว่าราคาทองจะขึ้น แต่นับวันราคากลับยิ่งต่ำลงไปเรื่อย สถานการณ์นี้นักเล่นทองบางคนอาจตัดสินใจเลือกใช้ วิธีซื้อถัวเฉลี่ย ในช่วงที่ทองราคาลง เพื่อหวังจะนำต้นทุนที่ซื้อมาทั้ง 2 ครั้ง มาถัวเฉลี่ยให้ต่ำลง หรือไม่ให้ขาดทุนห่างจากราคาปัจจุบันมากนัก

กระนั้นก็ตาม วิธีนี้ต้องระวังด้วยว่า ซื้อถัวเฉลี่ยในช่วงถูกจังหวะหรือไม่...ไม่ใช่ยิ่งซื้อ ราคายิ่งร่วง

นอกจากนี้บางคนอาจอาศัยรอฉวยโอกาสเทขายทำกำไรในช่วงที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯแข็งค่าขึ้น หรือเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองขยับขึ้นตามกลไกของอัตราแลกเปลี่ยน

สรุปแล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงทำให้เวลานี้นักเก็งกำไรทองที่ซื้อไว้ในช่วงราคาทองแพง กับโรงรับจำนำที่รับตึ๊งไว้ในช่วงทองแพงถูกลูกค้าปล่อยขาดหลุดจำนำ คือกลุ่มที่ถูกหางเลขจากราคาทองร่วงกลุ่มหลัก

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับราคาทองบางกลุ่มได้รับผลกระทบน้อย หรือแทบไม่กระทบ

ราตรี แสงอรุณ พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ใน อ.หนองแค จ.สระบุรี ซึ่งทำธุรกิจให้เช่าซื้อทองถูกกฎหมาย (ผ่อนทองรายวัน) บอกว่า

แม้ช่วงนี้ราคาทองมีทิศทางเป็นขาลง แต่จำนวนลูกค้าที่ไปใช้บริการผ่อนทองรายวันยังคงปกติ กล่าวคือ ไม่ได้มากขึ้นหรือลดลง เฉลี่ยอยู่ที่สัปดาห์ละ 5–10 ราย หรือเดือนละประมาณ 20–40 ราย

เธอว่า กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไปใช้บริการผ่อนทอง ได้แก่ แม่ค้าที่ขายของตามตลาดสด ตลาดนัด และคนทำงานทั่วไป

“เงื่อนไขเราไม่ยุ่งยาก แค่หาคนค้ำประกันมา 1 คน ต้องไม่ใช่เครือญาติหรือคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน มากรอกเอกสารทำสัญญาเช่าซื้อทองกับเราที่ออฟฟิศ เราจะปล่อยให้เฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่ ไม่ปล่อยให้คนนอกพื้นที่”

ราตรีบอกว่า ถ้าเป็นลูกค้าหน้าใหม่ ยังไม่เคยผ่อนทองกันมาก่อน จะเปิดโอกาสให้ผ่อนได้สูงสุด เส้นละน้ำหนักไม่เกิน 2 สลึง แต่ถ้าเป็นลูกค้าเก่า มีประวัติผ่อนส่งดี จึงจะปล่อยให้เส้นที่หนักเกินกว่านั้น

“ถ้าเอกสารครบ ทำสัญญาผ่าน เราให้ทองไปใส่ก่อนเลย ทอง 1 สลึง ผ่อนวันละ 120 บาท 48 วัน เส้นละ 2 สลึง ผ่อนวันละ 200 บาท ระยะผ่อน 58 วัน”

เธอทิ้งท้ายว่า “ลูกค้าเราโดยมากเป็นแม่ค้า ค้าขายพอมีกำไรรายวัน แต่ต้องใช้เงินก้อนไปเป็นทุนหมุนค้าขาย จึงไม่นิยมซื้อทองเงินสด ฉะนั้น ไม่ว่าทองจะแพงหรือถูก คนที่มาใช้บริการกับเราก็ยังเป็นกลุ่มเดิมๆ ส่วนทางเราไม่ว่าทองจะขึ้นหรือลง ได้บวกค่าความเสี่ยงและดอกเบี้ยเอาไว้ในนั้นแล้ว”.