วันเสาร์สบายๆวันนี้มาคุยเรื่อง “การคืนความสุขให้ชีวิต” กันดีกว่านะครับ สองวันก่อน คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกวัย 83 ปี ได้บอกเล่ากับผู้ถือหุ้น บริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ ที่ไปเยี่ยมเขาที่บ้านเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ว่า เคล็ดลับการสร้างความสุข ในชีวิตของเขาก็คือ “การใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐาน ของความพอดี” และต้องตัดทิ้งความรู้สึกที่ว่า “อยากรวยยิ่งขึ้น” ให้หมดสิ้นไป
ไม่น่าเชื่อว่ามหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก ที่ร่ำรวยกว่า 58,500 ล้านดอลลาร์ กว่า 1.9 ล้านล้านบาท จะสามารถ “ตัดความโลภอยากรวยยิ่งขึ้นลงได้” และยึดถือ “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงพร่ำสอนคนไทยให้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติเพื่อความสุขในชีวิต และความสุขของบ้านเมือง
คุณบุฟเฟตต์ บอกกับผู้ถือหุ้นของเขาว่า โลกของเราจะต้องเผชิญกับความหายนะครั้งใหญ่มาก ถ้าหากบรรดาคนรวย ยังไม่รู้จักพอ และยังคงแสวงหาช่องทางในการสร้างความร่ำรวยเพิ่มเติมให้แก่ตัวเองไม่รู้จักจบสิ้น
ฟังแล้วผมก็นึกถึงมหาเศรษฐีไทยขึ้นมาทันที โดยเฉพาะ นักการเมืองมหาเศรษฐี ที่ร่ำรวยกันเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท ใช้ไปอีกไม่รู้กี่ชาติก็ใช้ไม่หมด ถ้าทุกคนคิดได้อย่าง มหาเศรษฐีบัฟเฟตต์ “รวยแล้วรู้จักพอ” ไม่ไปแสวงหาความร่ำรวยเพิ่มในช่องทางมิชอบ เพราะรวยมากไปกว่านี้ ก็ไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไรแล้ว ได้แต่เห็นตัวเลขในบัญชีแบงก์ บ้านเมืองไทยก็คงไม่เสียหายอย่างเช่นทุกวันนี้
คุณบัฟเฟตต์ ยังสอนคนรวยผ่านผู้ถือหุ้นให้เห็นสัจธรรมของชีวิตอีกว่า “การมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องใช้จ่ายให้มาก เพื่อให้สมกับฐานะความร่ำรวย “เงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้” เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผมเชื่อว่ามนุษย์เราต้องการเพียงแค่ การมีบ้านที่ดีสักหลังหนึ่ง มีสุขภาพที่ดี มีอาหารที่ดี มียานพาหนะที่ดีสักคัน ก็เพียงพอแล้ว ผมก็ต้องการเพียงเท่านี้ ผมขอยืนยัน ผมไม่เคยมีความคิดที่จะมีบ้านพักหลังใหญ่สัก 6 หรือ 8 หลัง เพราะมันทำให้ชีวิตผมมีความสุขน้อยลงไปมาก เมื่อเทียบกับการที่ผมมีบ้านที่ดีเพียงหลังเดียว”
...
นี่คือสัจธรรมชีวิต ที่สร้างความสุขให้กับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกปีนี้ แม้จะร่ำรวยแค่ไหน มหาเศรษฐีบัฟเฟตต์ ก็ยังใช้ชีวิตเรียบง่ายในบ้านหลังเก่าอย่างที่เขาพูดทุกวัน มีบ้านที่ดีหนึ่งหลัง มีรถที่ดีคันหนึ่ง มีสุขภาพที่ดี มีอาหารการกินที่ดี แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง การมีเงินหมื่นล้านแสนล้าน ก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าไม่มีความสุข
นอกจากการใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความสุขแล้ว บัฟเฟตต์ ยังเป็น มหาเศรษฐีใจบุญที่สุดในโลกคนหนึ่งอีกด้วย ปี 2555 บัฟเฟตต์ บริจาคหุ้นของ เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ คิดเป็นมูลค่า 8,300 ล้านดอลลาร์ ราว 265,600 ล้านบาท ให้กับองค์กรการกุศลปีที่แล้ว 2556 บัฟเฟตต์ ก็บริจาคหุ้นของ เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ ให้องค์กรการกุศล 5 แห่งอีก 6,150 ล้านดอลลาร์ ราว 200,000 ล้านบาท
คนรวยที่รู้จักบุญคุณสังคมและชาติบ้านเมืองและคืนกำไรให้สังคม วันนี้กำลังเบ่งบานไปทั่วโลก ปีที่แล้ว มาร์ค ซัคเคอร์เบอร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก รวยเป็นมหาเศรษฐีก็เพราะเฟซบุ๊ก ก็เป็นเศรษฐีใจบุญคนล่าสุดที่ ควักเงินกำไรจากเฟซบุ๊ก 990 ล้านดอลลาร์ กว่า 32,000 ล้านบาท บริจาคให้กับ มูลนิธิซิลิคอน แวลลีย์ คอมมิวนิตี้ ถิ่นที่ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมา ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีเศรษฐีใจบุญอย่างนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยบ้าง
วันนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนาน ไม่ว่านักลงทุนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ต่างก็ศึกษาวิธีลงทุนของบัฟเฟตต์ อยากรวยอย่างบัฟเฟตต์ แม้แต่ การประมูลโอกาสกินข้าวสนทนากับบัฟเฟตต์ ก็มีคนรวยรุ่นใหม่แย่งประมูลกันทั่วโลก ปีนี้ คุณแอนดี้ ฉั่ว นักธุรกิจ จากสิงคโปร์ประมูลได้ไปในราคา 2,166,766 ดอลลาร์ ราว 71 ล้าน บาท แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถประมูลได้หรือใช้เงินซื้อหามาได้ก็คือ “ความสุขในชีวิต” ที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีให้กับตัวเองมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่.
“ลม เปลี่ยนทิศ”