อีก 1 คดีฆาตกรรมในตำนาน ในวงการเสื้อกาวน์ ที่ทำให้อาชีพหมอด่างพร้อย

กับคดีฆาตกรรมอำพรางในอดีต กับ คดี “หมอหนุ่ม” ฆ่า “หมอสาว” ที่กำลังมีอนาคตไกลทั้ง 2 คน แต่คนหนึ่งต้องจบชีวิต ส่วนอีกคน หมดอนาคตกับเส้นทางช่วยชีวิตผู้คน

3 นาทีคดีดัง โดย ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปย้อนรอยคดีนี้ ซึ่งเกิดขึ้น เช้าวันที่ 27 ตุลาคม 2545 พ.ต.ท.อดุลย์ กัปกัลย์ สารวัตร สภ.เด่นชัย จ.แพร่ รับแจ้งว่ามีเหตุไฟไหม้รถยนต์ และมีผู้เสียชีวิตภายในรถ บริเวณถนนเด่นชัย อุตรดิตถ์ กม.ที่ 136-137 หมู่ 2 ต.ห้วยไร่

ที่เกิดเหตุ พบรถนิสสันเอ็นเอกซ์คูเป้ สีขาว ทะเบียน กง 636 เชียงราย จอดในลักษณะหันหน้าออกถนน โดยมีไฟกำลังไหม้ทั้งคัน เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันดับ ที่นั่งคนขับพบศพเหยื่อ ถูกไฟไหม้หนักจนเหลือแต่เพียงกระดูก เศษกะโหลกกระจาย ตามเบาะและพื้นรถ

หลักฐานสำคัญที่พบในที่เกิดเหตุมีเพียงสร้อยคอทองคำ 2 สลึง 1 เส้น และพระทรงสามเหลี่ยมเลี่ยมทอง 1 องค์ ส่วนเอกสารในรถโดนไฟเผามอดไหม้ไปหมด

เมื่อตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบหลักฐาน ก็รู้ทันทีว่า นี่...ไม่ใช่คดีอุบัติเหตุ แต่มันเป็นการ ฆาตกรรมอำพราง!!

ดูสภาพรถไม่มีรอยเฉี่ยวชน คาดว่า คนร้ายลงมือฆ่าผู้ตายก่อน แล้วนำศพใส่รถ จากนั้นก็เข็นถอยหลังลงไปไว้ที่ไหล่ถนน ก่อนจุดไฟเผาทำลายหลักฐาน เบื้องต้นตำรวจตั้งปมชู้สาว กับหักธุรกิจไม่เปิดเผย...

...


เมื่อตรวจสอบทะเบียนรถยนต์ จึงทราบชื่อผู้ตาย คือ คุณหมอสาว วัย 23 ปี เพิ่งเรียนจบแพทย์เพียง 1 ปี

ไม่นานนัก ตำรวจแจ้งข่าวร้ายให้กับมารดา หลังทราบข่าวแม่คุณหมอสาวถึงกับเข่าทรุด ร้องไห้โฮ เพราะมั่นใจว่าสร้อยที่พบในที่เกิดเหตุเป็นของลูกสาว

ตำรวจเดินทางไปยังโรงพยาบาล 3 แห่ง ที่ผู้ตายเคยทำงาน เพื่อสอบปากคำเพื่อนและคนรู้จัก ทำให้ได้เบาะแสสำคัญ

คุณหมอสาว เคยถูกชายคนหนึ่ง ตามหึงหวงในร้านอาหาร และใช้มีดไล่แทง ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน

จากนั้นเธอจึงทำเรื่องร้องเรียนไปถึงผู้บังคับบัญชาฝ่ายชาย สุดท้ายจึงมีคำสั่งย้ายเธอ และหมอชายที่มีปัญหาแยกออกจากกัน ไปทำงานคนละที่

เมื่อได้เบาะแส! การไล่ล่า หาความจริงจึงเกิดขึ้น

ตำรวจส่งมือดี ตามประกบผู้ต้องสงสัย...ในขณะที่กำลังรอผลตรวจ DNA เนื่องจากถูกเผาจนเหลือแค่โครงกระดูก จึงต้องรอผลยืนยัน

ในเวลาเดียวกัน ตำรวจได้ย้อนรอยเส้นทางจนถึงเกิดเหตุ ก็พบพยานเห็นรถสีบรอนซ์คันหนึ่ง จอดใกล้รถผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุ 2 ชั่วโมง

30 ต.ค. 45 หลังจากเกิดเหตุ “หมอหนุ่ม” ผู้ต้องสงสัย ยังคงเดินทางมาทำงานตามปกติ แต่วันนั้น ก็คือวันสุดท้ายที่คุณหมอได้ทำงาน

จากการสอบสวนกว่า 6 ชั่วโมง “หมอหนุ่ม” ก็ยอมรับสารภาพ เพราะจนด้วยหลักฐาน ซึ่งตำรวจได้เค้นสอบ และค่อยๆ ปล่อยออกมาเรื่อยๆ

หลักฐาน ที่ตำรวจตามได้มีอะไรบ้าง....

ตำรวจพบ “เส้นผม” ของผู้เสียชีวิตอยู่หลังรถ “หมอหนุ่ม” นอกจากนี้ ยังพบเศษดินในที่เกิดเหตุภายในคลัตช์รถด้วย

ซึ่งที่ผ่านมา “หมอหนุ่ม” วัย 24 ปี ได้ล้างรถคันนี้ถึง 2 ครั้งแล้ว!



หมอหนุ่มสารภาพสิ้นว่า... ก่อนเกิดเหตุ ฝ่ายหญิงได้มาหาเขาที่หอพัก พอรุ่งเช้าก็ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน ระหว่างกินอาหาร ก็เกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรง ในประเด็นเรื่องหึงหวง จากนั้นทั้งคู่ก็กลับขึ้นรถ ซึ่งเป็นรถของฝ่ายชาย ที่ขับมาจากหอพัก ระหว่างทาง ถนนสายพิษณุโลก-นครสวรรค์ “หมอสาว” ได้โทร.หาแพทย์หญิงอีกคน ซึ่งเป็นแฟนใหม่ของ “หมอหนุ่ม” ที่ตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ

จากนั้นได้มีคำพูด เยาะเย้ยแฟนใหม่ ด้วยความโกรธเกรี้ยว “หมอหนุ่ม” ใช้มือบีบคอ “หมอสาว” จนเสียชีวิต จากนั้นหาโอกาสนำศพผู้ตายใส่ไว้หลังรถ

จากนั้นได้เลี้ยวรถกลับ ไปหอพักแพทย์ ด้วยความกลัดกลุ้ม จึงโทร.หา “แพทย์หญิง” ซึ่งเป็นแฟนใหม่ ได้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ โดยนัดเจอกัน

หมอหนุ่ม ได้แวะซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุเผารถ เมื่อแพทย์สาว ซึ่งเป็นแฟนใหม่มาถึง จึงได้ไหว้วานให้เธอช่วยขับรถผู้ตายไปในที่เกิดเหตุ

ด้วยความรักที่มีต่อฝ่ายชาย “แฟนใหม่” ตกกระไดพลอยโจน กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอำพรางศพ

เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ฝ่ายชายจัดเตรียมทุกอย่าง นำศพมาไว้ที่คนขับ จัดฉากให้คล้ายอุบัติเหตุ เอาน้ำมันราด ก่อนจุดไฟเผา...คุณหมอหนุ่มให้การดังกล่าว โดยมีการซัดทอดไปถึงแฟนใหม่ด้วย ก่อนจะตัดสินใจพลิกลิ้นให้การว่าลงมือทำคนเดียว

ตำรวจดำเนินคดีกับ คุณหมออนาคตไกลอีกคน ซึ่งเป็น “แฟนใหม่” ของหมอหนุ่ม ในข้อหาช่วยกันซ่อนเร้นอำพรางศพ แฟนใหม่ถูกตำรวจเชิญตัวมาสอบ และใช้เวลาพักใหญ่ กว่าจะเข้ามอบตัว

ขณะเดียวกัน “หมอหนุ่ม” ได้พูดผ่านกรงขังว่า “ต้องกราบขอโทษแพทย์ทั่วประเทศ ที่ทำให้วงการแพทย์เสื่อมเสีย ตอนที่ลงมือทำ...ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแพทย์”

ด้านครอบครัวผู้เสียชีวิต ได้ทำพิธีทางศาสนา หลังเสร็จกิจ ตำรวจได้เชิญทั้ง 2 ครอบครัวเผชิญหน้ากัน

5 พ.ย. 45 หลังพิธี “เผาศพ” แพทย์สาว แม่ของเธอถูกตำรวจเชิญมาที่โรงพัก เผชิญหน้ากับ ครอบครัวหมอหนุ่ม

ครอบครัวฝ่ายชาย ก้มกราบตักแม่ของผู้เสียชีวิต และจะยอมชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งค่ารถและค่าชดเชยต่างๆ

เมื่อถึงคิว “หมอหนุ่ม” ตำรวจพาตัวมาก้มกราบมารดาของผู้เสียชีวิต

แม่ผู้เสียชีวิตนั่งกอดภาพลูกสาว ร่ำไห้ตลอดเวลา ในระหว่าง “หมอหนุ่ม” ก้มกราบเท้า แม่ของผู้เสียชีวิต ที่กำลังสะอื้นตลอดเวลา ได้ยกเท้าขึ้นกระทืบไปที่หัวหมอหนุ่ม 1 ครั้ง อย่างแค้นเคือง จากนั้นเธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างน่าเวทนา

คุณแม่ ให้สัมภาษณ์ต่อมาว่า “ฉันขอประกาศตรงนี้ว่า จะไม่รับการขอขมาครั้งนี้”

...


พ.ต.อ.ปิยบุตร อัจฉริยมงคล ผกก.สภ.เด่นชัย (ในขณะนั้น) มั่นใจว่าคดีนี้ไม่มีปัญหา เพราะมีพยานหลักฐานเป็นที่น่าพอใจ และจะสรุปสำนวนส่งฟ้องศาลได้

จากนั้น กระบวนการยุติธรรมก็ทำงาน ตำรวจทำสำนวนส่งอัยการ ก่อนจะมีการส่งฟ้อง

2 ธันวาคม 2547 ศาลจังหวัดแพร่ ได้อ่านคำพิพากษา โดยบรรยายว่า จำเลยที่ 1 อ้างว่า บันดาลโทสะ ไม่เจตนาฆ่า ทั้งที่เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญด้านศัลยกรรมประสาท จึงรู้ดีว่าการกระทำของตนจะเกิดผลอย่างไรติดตามมา

คำกล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 “ฟังไม่ขึ้น” มีความผิดตามข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ข้อหาทำลายศพเพื่ออำพรางคดี ตัดสินจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 มีเหตุบรรเทาผลร้ายด้วยการชดใช้ค่าเสียหายให้มารดาผู้ตายจนไม่ติดใจเอาความ และให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี มีเหตุให้บรรเทาโทษลง 1 ใน 3 เหลือ โทษจำคุกรวม 35 ปี 4 เดือน และจบลงที่ศาลชั้นต้น

ขณะที่จำเลยที่ 2 หมอสาว ศาลลงโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งต่อมาได้อุทธรณ์และฎีกา กระทั่งศาลยืนตามศาลชั้นต้น แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี

...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน