การทำธุรกิจในยุคนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เห็นได้จากแค่วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่ต่างสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ในแวดวงธุรกิจมากมาย

ซึ่งหากให้มองในอนาคต ก็อาจมีเหตุการณ์ที่ยากจะคาดเดาเช่นนี้ มากระทบระบบเศรษฐกิจให้เกิดการชะงัก ชะลอตัวขึ้นอีกก็เป็นไปได้

ทางออกที่ดีคือ ธุรกิจต้องมีการวางแผนรับมือให้ครบรอบด้าน เพื่อจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งต้องปรับตัวได้รวดเร็ว และมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

Business On My Way สัปดาห์นี้ขอพาไปรู้จักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ ที่เลือกวิธีการผนึกกำลังกันสรรค์สร้างโครงการ รวมถึงเลือกพัฒนาในทำเลโซนที่ตนเองเชี่ยวชาญ เพื่อเสริมความแกร่งซึ่งกันและกัน กับ บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เล่าว่า บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์นี้ เป็นการร่วมมือของ 3 บริษัทผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นนำของภาคตะวันออกและกรุงเทพฯ ที่มีประสบการณ์การสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพมากว่า 30 ปี ได้แก่ บริษัท เอปัส ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ดิ เออเบิ้ล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัท บ้านสิริศา จำกัด

...

โดยล่าสุดได้พัฒนาโครงการ “อารมณ์ วงศ์อมาตย์” คอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักชัวรี มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นโครงการลิมิเต็ดแรร์ไอเทม แห่งเดียวในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยชูจุดขายทำเล “Prime of the Prime Location” ติดทะเล

“หากจะให้พูดคือโครงการนี้ ถือว่าตั้งอยู่บนที่ดินผืนสุดท้ายบนหาดวงศ์อมาตย์ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดที่ดินหายาก และราคาแพงที่สุดของพัทยา” นายเฉลิมพลกล่าว

นายเฉลิมพล เล่าว่า เวลานี้คอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักชัวรี และลักชัวรีในเมืองพัทยา เป็นที่ต้องการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการริมชายหาด เนื่องจากมีซัพพลายค่อนข้างน้อย โดยจากข้อมูลย้อนหลังของตลาดอสังหาฯ พัทยากว่า 5 ปีผ่านมา พบว่าแทบไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในโซนนี้เลย

ส่วนที่ยังมีการเปิดขายอยู่ ก็เป็นส่วนน้อยที่ยังมียูนิตคงค้างในตลาด เนื่องจากวงศ์อมาตย์เป็นหาดที่มีราคาที่ดินแพงที่สุดในพัทยาและมีการ
ปรับราคาขึ้นทุกปี

“อีกหนึ่งปัจจัยที่ตอกย้ำความมั่นใจให้ตลาดอสังหาฯ ที่พัทยา คือความชัดเจนในการลงทุนของภาครัฐในพื้นที่โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของพัทยา ให้คึกคักขึ้นเป็นอย่างมากในอนาคต ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยของพัทยา จะยังคงเป็นที่ต้องการของชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นที่พักผ่อน หรือเพื่อการลงทุนในอนาคต” นายเฉลิมพล กล่าว

ด้าน นายสมภพ วาณิชเสนี หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เล่าว่า โครงการ “อารมณ์ วงศ์อมาตย์” เป็นโครงการสูง 55 ชั้น บนเนื้อที่ 3.3 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดจำนวน 319 ยูนิต มีทั้งแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 37.5-63 ตารางเมตร (ตร.ม.) แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 81-87 ตร.ม. รวมถึงเพนท์เฮาส์ขนาด 201-210 ตร.ม. ออกแบบเพดานสูงถึง 3.2-4 เมตร

ที่สำคัญทุกยูนิตสามารถเปิดรับทัศนียภาพที่งดงามของหาดวงศ์อมาตย์ รวมถึงผืนน้ำทะเลแบบพาโนรามาซีวิวได้เต็มที่ อีกทั้งมีทีเด็ดสำหรับยูนิตซิกเนเจอร์พิเศษ ที่จะมาพร้อมสระจากุซซีบนระเบียงส่วนตัวอีกด้วย

...

ในส่วนพื้นที่ส่วนกลางมีขนาดถึง 4,820 ตร.ม. แบ่งเป็นหลายโซน อาทิ Beach Facilities พร้อมสระริมหาดแบบ Multilevel Aqua Pool แห่งเดียวในพัทยา ไปจนถึง Sky Facilities บนชั้นดาดฟ้า ที่สำคัญโครงการนี้เน้นมอบความรู้สึกสะดวกสบาย เสมือนเป็นที่พักตากอากาศส่วนตัว ด้วยออกแบบให้แต่ละชั้นมีเพียงชั้นละ 7 ยูนิต

นายภาค ธนาอัครชล อีกหนึ่งผู้ก่อตั้ง บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เล่าต่อว่า สำหรับด้านกลยุทธ์การขาย จากเดิมมีแผนจะเปิดตัว
ในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวมาเป็นปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาด

โดยในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากเปิดให้เข้าเยี่ยมชมสำนักงานขาย มีลูกค้าสนใจนัดหมายเยี่ยมชมโครงการมากกว่า 200 ราย ทั้งนี้กลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือเป็นบ้านหลังที่สองเพื่อการพักผ่อน หรือเพื่อเป็นมรดกส่งต่อให้คนรุ่นหลัง โดยจากการสอบถามก็จะไม่เน้นปล่อยเช่า เนื่องจากทำเลที่ดินดังกล่าวหายาก และมีราคาสูง รวมไปถึงจำนวนยูนิตที่มีอยู่จำกัด ซึ่งก็ไม่คุ้มกับการปล่อยเช่า

...

สำหรับความคืบหน้าของโครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดจะเรียบร้อยภายในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ ส่วนด้านการก่อสร้างก็คาดว่าจะเป็นตามแผนที่วางไว้โดยจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2 ปี 2564 และแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 4 ปี 2567.