นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ถ้ามีโอกาสหลังการเลือกตั้งและได้เข้าร่วมรัฐบาล อยากกลับมาทำงานที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯมากที่สุด แม้เป็นกระทรวงเล็ก แต่เป็นงานที่ท้าทาย เพราะเป็นกระทรวงที่ทำรายได้จำนวนมากเข้าประเทศ และเพื่อเข้ามาสานต่อเป้าหมายที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำหนดให้ปี 2570 ต้องสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้มีสัดส่วน 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ให้ได้ ซึ่งถือเป็นรายได้หลัก 1 ใน 4 ของประเทศ
“หลังสงกรานต์ทุกคนเห็นได้ชัดว่าการท่องเที่ยวไทยฟื้นกลับมาแล้ว ก็อยากให้มีการจัดกิจกรรมกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวต่อเนื่อง อยากให้มีงบลงไปทำเพิ่มเติม แต่ช่วงของรัฐบาลรักษาการคณะรัฐมนตรีจะอนุมัติงบไม่ได้ ถ้ามีโอกาสกลับมาเป็น รมว.การท่องเที่ยวฯ ผมต้องเจรจากับผู้นำรัฐบาลใหม่ ให้จัดสรรงบแก่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว เพราะถ้าไม่มีอะไรมาสนับสนุน ก็ไม่ต่างจากทหารราบแนวหน้าที่ได้รับไม้จิ้มฟันไปออกรบ ก็คงสู้ไม่ได้ ไปไม่รอด”
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯเหมือนมดตัวเล็กๆไม่ได้มีงบมากพอในการไปทุ่มงบสู้กับยักษ์ใหญ่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน ส่วนเรื่องการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ค่าเหยียบแผ่นดิน) จากเดิมจะจัดเก็บวันที่ 1 มิ.ย. ล่าสุดคาดว่าจะจัดเก็บได้ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ เพื่อแก้ข้อขัดข้องของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ และวางระบบช่องทางการจัดเก็บอื่นๆให้พร้อม
“ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ทัวร์คิกแบ็ก ทัวร์อั้งยี่ ในไทย ล่าสุดได้เตรียมการต่างๆคือ เมื่อเดือน ก.พ.ได้หารือกับ รมว. วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน และเห็นตรงกันว่าต้องแก้ปัญหาทัวร์จีนผิดกฎหมายให้ได้ พร้อมดูแลคุ้มครองความปลอดภัยไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ และต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวจีนถูกต้อนเข้าไปในร้านค้าเหมือนหลุดเข้าไปในเขาวงกต ถูกบังคับซื้อของ รวมถึงทำให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ดีกลับไป ซึ่งกรมการท่องเที่ยวได้หารือกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยว่าเมื่อไทยจับกุมผู้กระทำความผิดได้จะส่งรายชื่อให้ทางการจีนลงโทษด้วย”.
...