นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เผยผลการดำเนินงานประจำปี 2565 มีรายได้รวม 24,501 เติบโต 261% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิ จำนวน 5,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% จากปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 9,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ที่สามารถขายไฟฟ้าในปริมาณและราคาที่ดี และการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน Sunseap

โดยในปี 2566-2568 มีแผนขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง “Triple E” ดังนี้
1. Ecosystem: มุ่งสร้างเมกะวัตต์คุณภาพด้วยสมดุลของพอร์ตธุรกิจทั้งจากพลังงานความร้อน (Thermal Power Business) พลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Business) และเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology)
2. Excellence: รักษาเสถียรภาพการผลิตควบคู่ไปกับประสิทธิภาพความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) และเน้นการสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ และเพิ่มโอกาสทำกำไรในตลาดที่มีการเติบโตและมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง
3. ESG: ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลักความยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ สู่เป้าหมายในการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568

สำหรับการลงทุนธุรกิจใหม่ (New S-curve)
เน้นการศึกษาเกี่ยวกับไฮโดรเจนและการบริหารจัดการ Carbon Emission โดยในช่วงที่ผ่านมาบ้านปูมีการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ Base load power generation ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจจ่ายไฟฟ้าพื้นฐานของบ้านปู จากโรงงานไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงงานไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ

ปัจจุบันกำลังศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหา Base load ชนิดใหม่ ทำให้ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เซ็นสัญญา MOU กับรัฐบาลญี่ปุ่นในการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้แอมโมเนียเป็นพาหนะของไฮโดรเจนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน BLCP ที่มีอยู่ และอยู่ในระหว่างการศึกษา Carbon Capture Storage (CCS) ร่วมกับพันธมิตรในสหรัฐฯ

เพื่อบรรลุเป้าหมาย ESG บริษัทให้ความสำคัญกับการจัดหาแหล่งเงินทุนซื้อโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม โดยเตรียมงบลงทุนระยะเวลา 3 ปี มูลค่า 500-700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการ Due Diligence โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง เพื่อไปสู่เป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568

สำหรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการใหม่ (M&A) ซึ่งจะทำให้มีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์จากการปิดดีลซื้อโรงไฟฟ้าหลายแห่ง อีกทั้งมีโอกาสทำกำไรเพิ่มเติมจากธุรกิจตลาดไฟฟ้าเสรีในสหรัฐอเมริกาซึ่งทางรัฐเทกซัสเปิดโอกาสให้สามารถทำธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าผ่านแพลตฟอร์มระบบกลาง (Energy Trading) และธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้าให้กับรายย่อยไม่ว่าจะเป็นครัวเรือน โรงงานอุตสาหกรรมหรือภาคธุรกิจ

...