บลจ.จิตตะ เวลธ์ มองหุ้นไทยปี 66 สุดฮอต มีโอกาสเติบโตสูงกว่าปีนี้ ชู กลุ่มท่องเที่ยว แบงก์ และอุปโภคบริโภค เด่นเหมาะลงทุนทำกำไร ได้รับแรงหนุนจากการเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 65 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้ มีหลากปัจจัยกดดันตลาดการลงทุน ทำให้ราคาสินทรัพย์ ปรับตัวลงทั่วโลก นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พ.ย. 65 ดัชนี S&P500 ปรับลดลงมาแล้ว -14.39% ขณะที่ดัชนี CSI300 ของจีนปรับลดลง -22.01%

อย่างไรก็ตาม ราคาสินทรัพย์ที่ร่วงลงทั่วโลกได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน จนไม่กล้าลงทุนต่อหรือรอคอยให้ตลาดลงต่ำสุดก่อน เพื่อหวังว่าจะเจอจังหวะ ที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุน บางรายตัดใจเทขายหุ้นทิ้ง เพราะเกรงว่า ราคาจะลงไปมากกว่าเดิม

นั่นอาจจะทำให้สถานการณ์ ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม และทำให้นักลงทุนมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำว่า การลงทุนที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจับจังหวะที่ดีที่สุด เพราะเราจะไม่มีทางทายถูก ได้ตลอดว่าจุดต่ำสุด จะอยู่ที่จุดไหน ดังนั้นฤกษ์ที่ดีที่สุด สำหรับการลงทุนคือเลิกรอ

สำหรับปี 66 นี้เรามองว่า เฟดส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในปลายปี 66 ซึ่งจังหวะที่ดอกเบี้ยทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง เป็นช่วงโอกาสทองของตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ และตราสารหนี้เอกชนที่มีคุณภาพหรือ Investment Grade ซึ่งนักลงทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคง

...

ส่วนกลุ่มประเทศในเอเชีย เราจะได้เห็นไทม์ไลน์สำคัญอย่างการผ่อนคลาย มาตราการ ZERO COVID ด้วยการเปิดประเทศของจีน ที่จะเป็นแรงหนุนสำคัญ ให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ในภาพรวม คาดว่าจะเห็นการเปิดเมืองในช่วงไตรมาส 2/2566 หากเกิดขึ้นจริงตลาดหุ้นจีนจะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง

สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไทยที่กำลังจะเริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศในปีนี้ จะได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นได้ในปี 2566 โดยหุ้นไทยปีหน้ามีโอกาสเติบโตสูงจากปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอุปโภคบริโภค และกลุ่มธนาคารเป็นดาวเด่นของตลาด แนะหาจังหวะลงทุน พร้อมกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศอย่างหุ้นจีน และเวียดนาม

ในส่วนของไทยเองยังจะมีประเด็นเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 จะเป็นแรงหนุนกำลังซื้อในประเทศให้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ เพราะการเลือกแต่ละครั้ง ย่อมมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งตลาดหุ้นไทยและญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งลงทุนที่มีเสถียรภาพ

โดยเหมาะที่จะนำมาสร้างสมดุลให้กับพอร์ตลงทุนได้ และตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นอีกตลาดที่นักลงทุนห้ามพลาด ราคาค่อนข้างถูก เมื่อพิจารณาจากความต้องการลงทุนเพื่อย้ายฐานการผลิต ด้วยค่าแรงต่ำ และประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล จะทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ และเป็นดาวเด่นได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสลงทุนทั้งในไทย และต่างประเทศ ด้วยแผนการลงทุนที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง กับ 3 นโยบายลงทุน ได้แก่ 1. Global ETF จัดพอร์ตตามทฤษฎีรางวัลโนเบลด้วย ETF หุ้นและตราสารหนี้ชั้นดีทั่วโลก เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยง ผลตอบแทนคาดหวัง 4-8% ต่อปี 2. Thematic ลงทุนธีมเมกะเทรนด์ที่คุณเชื่อมั่น พร้อมเทคโนโลยีดูแลพอร์ตอัตโนมัติ 3. Jitta Ranking ลงทุน ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ แบบอัตโนมัติตามแนวคิด Warren Buffett