บลจ.อเบอร์ดีน ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผล สร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ ในภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก บลจ.ไทยพาณิชย์ เชียร์หุ้นอินโดนีเซีย ดาวรุ่งแห่งอาเซียนที่เศรษฐกิจยังโตได้อีก

เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 65 นายจอช ดิวทซ์ รองหัวหน้าทีมโกลบอลเอคควิตี้ อเบอร์ดีน หรือ abrdn กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อ แต่ abrdn เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ราคาพลังงานมีการปรับตัวลดลง ประกอบกับการจ้างแรงงานนั้นมีทิศทางที่ดีขึ้น

ขณะที่ต้นทุนแรงงานยังอยู่ในอัตราคงที่ ทำให้ทิศทางอัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับลดลงได้ โดยคาดว่าปีหน้าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงในอยู่ในระดับ 5.1% จากปีนี้ที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 8% และ abrdn ยังเชื่อว่าจากปัจจัยเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้

อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของโควิดก่อให้เกิดปัญหา supply chain disruption ทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลดลงมากกว่า 30% ทั้งนี้การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้ามาควบคุมสถานการณ์ พร้อมด้วยนโยบายการสนับสนุนต่างๆ จากภาครัฐของประเทศต่างๆ

...

ทำให้ภาคเอกชนสามารถขับเคลื่อนและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ที่บริษัทต่างๆ สามารถสร้างรายได้และกำไรได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้อีกด้วย

ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้การลงทุนที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่าสม่ำเสมอคงหนีไม่พ้น กองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นปันผล โดยทาง abrdn มีกองทุนเปิด อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด โกลบอลไดนามิค ดีวิเด็น ฟันด์ ซึ่งลงทุนในหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่าง โดยกองทุนหลักมุ่งหวังที่จะมอบโอกาสในการรับผลตอบแทนจากกระแสรายรับเป็นประจำทุกเดือน รวมถึงโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากกำไรจากมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 6% ต่อปี จากการเลือกหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ถือว่าเป็นตลาดที่ยังน่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้นเยอรมนี และลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคด้านพลังงานและโรงไฟฟ้า รวมถึงกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีกระแสเงินสดดีเป็นหลัก


หุ้นอินโดนีเซีย ดาวรุ่งแห่งอาเซียนที่เศรษฐกิจยังโตได้อีก

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM กล่าวว่า ตลาดหุ้นกลุ่มอาเซียนมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP สูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศในอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศใน ASEAN

ทั้งนี้ IMF คาดการณ์การเติบโต GDP ของประเทศอินโดนีเซียไว้ที่ 5.3%-5.8% ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า อีกทั้งมูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นอินโดนีเซียยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม และการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นของประเทศอื่นค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงเหมาะเป็นทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้

นางนันท์มนัส กล่าวอีกว่า อินโดนีเซีย ถือเป็นตลาดที่เศรษฐกิจยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยภาครัฐตั้งเป้าที่จะเพิ่มขนาดเศรษฐกิจให้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก และเพื่อต้องการให้ประเทศออกจากอันดับรายได้ปานกลางภายในปี 2036 และเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2045 โดยจะผลักดันการเติบโตผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ

...

ขณะเดียวกัน เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI ยังคงไหลเข้ามาทำธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียและมีจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ASEAN-4 และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดข้อมูลในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ตัวเลข FDI เติบโตสูงถึงกว่า 40%YoY โดยส่วนใหญ่เข้ามาในภาคการผลิตและขนส่ง หลังจากรัฐบาลลดกฎเกณฑ์ต่างๆ ของการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรยังเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ จากจำนวนประชากรที่มากเป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นวัยแรงงานค่อนข้างมาก มีค่าแรงขั้นต่ำในระดับที่ไม่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยเอื้อต่อการผลักดันในการขยายตัวของเศรษฐกิจ ในภาคอุตสาหกรรม และการบริโภคในประเทศเป็นอย่างมาก

โดยสินค้าโภคภัณฑ์เป็นสินค้าส่งออกหลักที่มีมูลค่าเติบโตสูง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่ยังอยู่ในระดับสูง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นหุ้นในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และกลุ่มธนาคาร ซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักเป็นอันดับต้นๆ ของดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียจึงได้รับประโยชน์จากสภาวะการลงทุนในขณะนี้ ล่าสุด SCBAM จึงได้เปิดเสนอขาย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นอินโดนีเซีย หรือ SCBINDO เริ่มเสนอขายครั้งแรกวันที่ 20-26 ก.ย. 65 นี้.