- เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกลดการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ
- แนวโน้มหุ้นไทยปี 65 ให้เป้าดัชนีที่ 1,850 จุด รับเปิดประเทศ เศรษฐกิจเริ่มฟื้น กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ กลุ่มสื่อสาร, กลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์
- ตลาดพันธบัตรไทยได้รับรู้ปัจจัยลบมาพอสมควรแล้ว หุ้นกู้เอกชนก็น่าสนใจ
นาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด มองว่า ในปี 2565 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะปรับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะสร้างความผันผวนต่อตลาด
ทั้งนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มลดนโยบายการเงินผ่อนคลาย และลดการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม โดยนโยบายทางการคลังยังคงหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ขนาดและความสำคัญจะน้อยลงกว่าในปี 2021 ส่วนมูลค่าของสินทรัพย์สูงเป็นประวัติการณ์ การเติบโตของกำไรบริษัทจะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดต่อไป
ส่วนปัจจัยที่ต้องให้น้ำหนักและจับตามองในปี 2565 ได้แก่ 1.การกระจายวัคซีนและประสิทธิภาพสำหรับ Herd Immunity รวมถึงความคืบหน้าของยารักษาโควิด 2.อัตราเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวเพิ่มสูงขึ้นนานกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก 3.ปัญหาติดขัดด้านห่วงโซ่อุปทานและราคาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ภาคการผลิตฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
...
4.การปรับลดมาตรการการผ่อนคลายเชิงปริมาณ และการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาด อาจทำให้ตลาดตอบรับในเชิงลบ 5.อัตราภาษีที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันผลตอบแทนของตลาดในระยะถัดไป และ 6.ความเสี่ยงจากประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ ได้แก่ การค้าระหว่างประเทศ เทคโนโลยี หรือทรัพย์สินทางปัญญา
แนวโน้มหุ้นไทยปี 65 ให้เป้าดัชนีที่ 1,850 จุด รับเปิดประเทศ เศรษฐกิจเริ่มฟื้น
ธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA, รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า หากมองเฉพาะสิ้นปี 64 ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปิดปีที่ระดับ 1,650 จุด ส่วนในปี 2565 ดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,850 จุด ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3.9% ตามรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังรัฐบาลได้เร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปแล้วถึง 86 ล้านโดส โดยคาดว่าจะครบ 100 ล้านโดสภายในเดือน พ.ย. 64 นี้ และคาดการณ์ว่าจะครบ 120 ล้านโดสภายในปี 64 นี้เช่นกัน ขณะเดียวกันปี 65 เราคาดว่าหลังจากเปิดประเทศแล้วภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 6-8 ล้านคน บวกกับการฟื้นตัวของการส่งออกจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะส่งให้ปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในหุ้นไทยดีขึ้นอีกด้วย
"อัตราผลตอบแทนหุ้นไทยในปี 64 อยู่ที่ประมาณ 13.4% ส่วนปี 64 คาดว่าหุ้นไทยน่าจะมีอัตราผลตอบแทนได้ประมาณ 10% และมีอัตราผลตอบแทนรวมที่ประมาณ 15% จากระดับดัชนีหุ้นไทยปัจจุบัน"
ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร หลังจากมีดีลใหญ่ของทรูและดีแทค น่าจะให้ภาพรวมอุตสาหกรรมเติบโตขึ้น และการแข่งขันด้านราคาลดลง, กลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์ จากการที่หลายแห่งเริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจ และมีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น จะเป็นช่องทางสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว และเฮลท์แคร์ ยังได้ประโยชน์หลังการเปิดประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะทยอยกลับเข้ามา
ธิดาศิริ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเรายังไม่เห็นสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากมีการขายออกมาตลอด ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2013 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้วประมาณ 8 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากโครงสร้างตลาดหุ้นไทยที่ยังไม่มีธุรกิจใหม่ๆ เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ทำให้ขาดความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ
ส่วนความกังวลเรื่องการระบาดโควิด-19 รอบใหม่นี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหากเทียบกับประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูงที่กลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่ ซึ่งไทยที่มีอัตราการฉีดวัคซีนน้อยกว่าก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่เชื่อว่าหุ้นไทยน่าจะสามารถยืนอยู่ได้ที่แนวรับระดับ 1,550 จุด เนื่องจากมีปัจจัยที่แตกต่างไปจากเดิมตามจำนวนของผู้ฉีดวัคซีน
...
ตลาดพันธบัตรไทยได้รับรู้ปัจจัยลบมาพอสมควร
ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดพันธบัตรไทยได้รับรู้ปัจจัยลบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านไปส่วนใหญ่แล้ว โดยการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจะจำกัดกว่าของสหรัฐฯ และ Global Sentiment เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างกัน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวกว่ามาก เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าอย่างมีนัย
ส่วนความผันผวนในระยะสั้นอาจมีให้เห็น แต่คาดว่าเป็นไปอย่างจำกัด และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยในปัจจุบันได้ปรับขึ้นมาจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจในการลงทุน ขณะเดียวกันตลาดหุ้นกู้เอกชนยังมีความน่าสนใจ ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากสภาวะดอกเบี้ยต่ำในระยะยาว เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด อัตราการผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มลดลง
ในส่วนของคำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนนั้น ตลาดตราสารหนี้ในปี 2022 จะยังมีความผันผวนเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 2021 ซึ่งการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ควรมีความชัดเจนขึ้นว่าเพื่อการพักเงินในระยะสั้น หรือเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนตาม Aseet Allocation
ทั้งนี้ กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นยังสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ แต่ควรมีระยะเวลาการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 เดือน นอกจากนี้กองทุนตราสารหนี้ทั่วไปมีความเป็นไปได้สูงที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำธนาคารพาณิชย์ แต่ก็ควรมีระยะเวลาการลงทุนไม่น้อยกว่า 6 เดือน.