“สมุนไพรไทย” ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยเป็นอย่างมาก นานาชาติเริ่มหันมาให้ความสนใจต่อเนื่อง
โดยความที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งด้านสรรพคุณ รส กลิ่น ทำให้บ่งบอกสื่อสารความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี
แต่ทว่าในยุคสมัยนี้ จะชูแค่ความเป็นสมุนไพรคุณภาพอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องพัฒนาสอดแทรกความทันสมัย แพ็กเกจจิ้งที่ดึงดูดสายตาน่าซื้อ
Business On My Way สัปดาห์นี้ขอพาไปรู้จักกับแบรนด์ “สมุนไพรวังพรม” ที่วันนี้ไม่ได้รู้จักกันแค่ในประเทศไทยอีกต่อไป เพราะปัจจุบันได้ปลุกปั้นแบรนด์ “ยาหม่องไทย” ไปครองตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) อีกด้วย
คุณวัชรีภรณ์ วังพรม กรรมการบริหาร บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด เล่าว่า สมุนไพรวังพรมเปิดดำเนินกิจการครบรอบ 25 ปี โดยมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มยาดม กลุ่มยาสมุนไพร กลุ่มยาแคปซูล กลุ่มของใช้ส่วนตัว กลุ่มของชำร่วย และกลุ่มยาสำหรับนวด
...
โดยภายหลังจากที่สมุนไพรวังพรมเดินหน้าขยายตลาดส่งออก โดยมุ่งเป้าขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประเทศ CLMV มาตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมานั้น ขณะนี้ถือว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศลาว ที่มีความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นทุนเดิม
ส่งผลทำให้ผลิตภัณฑ์ยาหม่องสมุนไพรเสลดพังพอน และยาหม่องสมุนไพรไทยสูตรอื่นๆ ของแบรนด์สมุนไพรวังพรม เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยม โดยภายหลังเข้าไปทำตลาดในประเทศลาวล่าสุดในปี 2562 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปี 2561
“กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาหม่องของเราครองส่วนแบ่งอันดับ 1 โดยทำยอดจำหน่ายรวมถึง 60% ในกลุ่มตลาดยาหม่องในประเทศลาว ซึ่ง ถือเป็นอีกก้าวของความสำเร็จ ที่ผลิตภัณฑ์ยาหม่องสมุนไพรไทยสามารถทำยอดขายแซงหน้าผลิตภัณฑ์ยาหม่องโลคอลแบรนด์ของลาวได้เป็นครั้งแรก”
คุณวัชรีภรณ์ เล่าว่า แผนจากนี้บริษัทจะขยายตลาดและฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยในระยะที่สองของการมุ่งเป้าสู่ตลาดกลุ่มประเทศ CLMV บริษัทจะเร่งผลักดันการทำตลาดและส่งออกไปยังประเทศเมียนมาและกัมพูชา เนื่องจากผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยเฉพาะยาหม่องยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ซึ่งจากการคาดการณ์แนวโน้มใน 2 ประเทศดังกล่าว คาดว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ 8-10% ภายในปี 2565 รวมถึงกระตุ้นยอดขายในประเทศผ่านกลยุทธ์ปั้นแบรนด์สมุนไพรไทย ที่เชื่อมโยงกับภูมิปัญญาและการนวดไทยอันเป็นเอกลักษณ์ และได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ได้แก่
เพิ่มกลุ่มผู้บริโภค โดยเน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสนใจผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากขึ้นเรื่อยๆ โดย เฉพาะผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ โดยเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และการจัดโปรโมชัน ควบคู่ไปกับช่องทางจัดจำหน่ายหน้าร้านสมุนไพรวังพรม และร้านค้าชั้นนำ
...
อีกทั้งยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์สมุนไพรวังพรม ไม่เพียงได้รับการยอมรับในกลุ่มประเทศ CLMV แต่ยังไปไกลถึงกลุ่มประเทศในแถบยุโรปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับศาสตร์นวดไทยที่ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก การเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เข้ากับเรื่องราว และคุณค่าที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศอย่างแพร่หลาย จะช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ก้าวสู่ระดับสากล ผ่านการเปิดตัวคลิปวิดีโอ “เชิดชูนวดไทย จากสมุนไพรวังพรม” ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณค่าและเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยอีกด้วย
รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านกำลังการผลิต โดยดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ภายใต้มาตรฐาน GMP PIC/S อันเป็นมาตรฐานการผลิตยาของประเทศในสหภาพยุโรป มาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตยาสามัญ เช่น พาราเซตามอล ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่มีเป้าหมายปรับปรุงมาตรฐานการผลิตของผู้ผลิตยาแผนโบราณขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงผู้ผลิตที่ผลิตยาในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำในประเทศ โดยคาดว่าจะเปิดดำเนินการภายในปี 2564
...
นายวุฒิชัย วังพรม กรรมการบริหาร บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด เล่าถึง ยอดจำหน่ายในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2563 ว่า ต้องยอมรับว่าสมุนไพรวังพรม เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด–19 โดยตรง โดยต้องหยุดไลน์การผลิตและปิดโรงงานชั่วคราว เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการซื้อกะทันหัน จนส่งผลต่อยอดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
ขณะเดียวกันธุรกิจนวดไทยซึ่งเป็นหนึ่งในลูกค้ากลุ่มใหญ่ก็ต้องหยุดให้บริการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ยอดจำหน่ายโดยรวมในช่วงนั้นค่อนข้างชะงักตัว ทั้งนี้ ภายหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ในช่วงเดือน ก.ค.- ส.ค.ที่ผ่านมา ตลาดต่างๆของผลิตภัณฑ์สมุนไพรวังพรม เริ่มกลับมามีคำสั่งซื้อและมีแนวโน้มปรับขยายตัวต่อเนื่อง คิดเป็นประมาณ 50% จากช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2563 บริษัทจะประคองสถานการณ์ผ่านพ้นช่วงวิกฤติโควิด-19 ไปได้.